23 เม.ย. 2553

ระหัสป่า7.5.4 หกวันห้าคืนบนเขาหลวง เขานัน จังหวัดนครศรีธรรมราช






ระหัสป่า 7.5 หกวันห้าคืนบนเขาหลวง เขานัน จังหวัดนครศรีธรรมราช
วันที่ 15-20 มีนาคม 2551
การเดินทางจากจังหวัดนนทบุรีโดยเมื่อเวลา ประมาณ 19.30 น. จากจังหวัดนนทบุรีเพื่อร่วมสำรวจอุทยานแห่งชาติเขาหลวงจังหวัดนครศรีธรรมราชกับเพื่อร่วมทีมได้แก่ คุณเอกหรือ(Hot ice) ช่างกล้องมืออาชีพ ทราบชื่อในภายหลัง โดยที่ยังไม่เคยได้สัมผัสและพบหน้ากันมาก่อน สำหรับบุคคลที่มีหัวใจคนแบกเป้ที่มีใจเดียวกันแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาระสำคัญ การได้ไปร่วมสำรวจร่วมกันสำคัญยิ่งกว่า ประกอบกับความพร้อมของจิตใจ และการมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันต่างหาก ข้าพเจ้านั่งรถแท็กซี่จากจังหวัดนนทบุรี โดยออกจากแถว ๆ หน้าโรงพยาบาลศรีธัญญาก็ประมาณ ทุ่มกว่า ๆ และถึงสถานีขนสายสายใต้ก็เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว เมื่อได้พบหน้าค่าตาซึ่งกันและกันแล้วเราก็ซื้อตั๋วที่สถานีที่จุดขายโดยจุดหมายปลายที่ที่อำเภอท่าศาลา นครศรีธรรมราช กำหนดของรถทัวร์ปรับอากาศออกเดินทางจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่เวลา 20.50 น. โดยรถของบริษัทนครศรีราชาทัวร์ค่ารถยนต์โดยสาย 618 บาทเป็นรถทัวร์นอนที่ค่อนข้างสบายไม่ถึงกับลำบากมากนักนอนหลับบ้างตื่นบ้างตลอดทางจนถึงรุ่งเช้า
เช้าวันที่ 15 มีนาคม 2551 เก้าโมงเช้ารถทัวร์พาเราเดินทางผ่านอำเภอสิชล ถึงอำเภอท่าศาลา พนักงานบริการบนรถร้องบอกว่าผู้โดยสารที่จะลงท่าศาลาเตรียมตัวได้แล้วค่ะ ข้าพเจ้าและคุณเอกก็เตรียมตัวลงรถทัวร์ซึ่งคุณเอกมีความคุ้นเคยกับทีมงานนี้อยู่แล้ว ในส่วนตัวของข้าพเจ้ายังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ผู้มารับเรา มีรถยนต์กระบะ ทราบภายหลังเป็นเพื่อนของบอย ชื่อสา บ่อยหรือทาร์ซาน และทร อดีดพรานป่าในแถบเทือกเขาหลวงมารับ เราเดินทางเข้าอำเภอท่าศาลาเพื่อรับประทานอาหารเช้า เรารับประทานอาหารเช้าดื่มกาแฟ ปลาท่องโก้ และเดินเลือกซื้อของรองเท้าฟองมีดโกนหนวด และเมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วเราทั้งสี่คนพร้อมสาผู้อำนวยความสะดวกเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ได้นั่งรถยนต์กระบะไปหาพี่รินพรานป่าผู้ชำนาญการใช้ชีวิตในป่าอย่างโชกโชน พี่รินหรือผู้อยู่ในพื้นที่เรียกว่าสหายริน ชายผู้นี่เป็นทหารเก่าเป็นหน่วยต่อสู้ยุทธวิธี มีความคล้องตัวสูง เก่งทั้งในด้านการรบการใช้ชีวิตในป่า การล่า การดำรงชีวิตเพื่อการอยู่รอด เรานั่งกินกาแฟบ้านพิ่รินอยู่ครู่ใหญ่ เราลาพี่รินและนั่งรถยนต์ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านเพื่อหาทางขึ้นสำรวจยอดเขาเจดีย์ ซึ่งยอดเขาลูกดังกล่าวยังไม่มีผู้ใดขึ้นไปสำรวจ กลุ่มของเราประกอบด้วย บอย(ทาร์ซาน) ทร พรานป่าซึ่งเป็นพรานหนุ่มที่หันหลังให้กลับการล่าสัตว์ กลับมาเป็นนักอนุรักษ์ป่าในพื้นที่เขาหลวง พี่เอก(HOT ICE)ช่างกล้องอิสสระ และตัวผมเองที่ทุกคนรู้จักในนามของ
ต๋อยแซมเบ้ เมื่อถึงจุดส่งตัวผู้สำรวจทั้งสี่คน เราได้เปลี่ยนชุดจากชุดคนเมืองมาเป็นคนเดินป่า บอยเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ถุงเท้า ถุงกันทาก ทรพรานหนุ่มเตรียมในลักษณะเดียวกัน พี่เอกเปลี่ยนเป็นชุดเดินป่าเช่นกันแต่ไม่ใช้ถุงกันทากแต่ใส่ถุงเท้าที่ใช้เล่นกีฬาอย่างหนาและยาวแทน ส่วนตัวผมซึ่งการเดินป่าแต่ละครั้งจะไม่ได้สนใจในเรื่องเล่านี้มากนัก ไม่ตระหนักถึงทากเนื่องจากป่าในพื้นที่ทางเหนือเป็นประจำ ลักษณะพื้นที่ ภูมิอากาศทางพื้นที่ทางภาคเหนือจะแตกต่างจากลักษณะพื้นที่ทางภาคใต้ ทางเหนือจะเป็นลักษณะป่าดิบแล้ง แต่พื้นที่ทางภาคใต้จะแตกต่างกันที่เป็นลักษณะป่าดิบชื้นเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะพื้นที่จะมีฝนตลอดทั้งปี ฉะนั้นการเดินป่าครั้งนี้จึงจำเป็นต้องตระหนักถึงฝน ฟ้าอากาศเป็นหลัก เราออกเดินทางจากจุดที่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ ใกล้เวลาเที่ยงเข้าไปแล้ว เราทั้งสี่คนเดินลัดเลาะสุ่มทุ่มพุ่มไม้ ผ่านป่าไม้แดง ซึ่งบอยจะอธิบายบอกเล่าถึงลักษณะของป่าไม้ในลักษณะต่าง ๆ กันบอยเล่าให้ฟังว่า พื้นที่ในลักษณะนี้เป็นป่าชั้นแรกๆ จะเป็นลักษณะของป่าไม้แดงซึ่งจะเป็นป่าไม้ที่มีการนำไปใช้ประโยชน์ในทางการค้าดังนั้นจึงมีผู้ลักลอบเข้าตัดไม้ทำลายป่าในช่วงนี้พอสมควร กระผมเดินไปสักระยะก็รู้สึกว่าเจ้าทากน้อยนี้เริ่มจะเป็นปัญหากับผมเสียแล้วเนื่องจากไม่ได้เตรียมตัวเกี่ยวกับการนำถุงกันทากมาแต่ยังไม่เป็นปัญหามากนัก กลุ่มเราทั้งสี่เดินขึ้นทางชันไปเรื่อย ๆ ป่าไม้นา ๆ ชนิดมากมาย ความสมบูรณ์ยังมีอยู่ตลอดเส้นทางเดิน เหนื่อยก็หยุดพักบ้างเป็นบางโอกาส ซึ่งหากมีการหยุดพักครั้งใดปัญหาจะเป็นทากที่เกาะตามเท้า จะตรวจที่บริเวณรองเท้า ถุงเท้าว่ามีทากเกาะอยู่หรือไม่ มีทากเข้าซุกซ่อนในถุงเท้าอยู่หรือไม่ เป็นเช่นนี้ไปตลอดระยะทางที่เดิน และทุกย่างก้าวของสำรวจดูว่ามีการชุมนุมของทากบ้างหรือไม่ ซึ่งจากจุดเดินนี่จะเป็นทางขึ้นที่ลาดชันไปเรื่อย ๆ ผู้เขียนเองเริ่มที่จะมีการกระตุกของกล้ามเนื้อหน้าขาด้านขวา แต่ก็ยังสามารถเดินด้วยไปเรื่อย ๆ ได้ไม่เร็วมากนัก ก้าวย่างที่ละก้าวอย่างสม่ำเสมอ เหงื่อไหลเป็นน้ำ ก้มมองตนเอง เสื้อที่ใส่เต็มไปด้วยเหงื่อ คิดในใจเหนื่อยมากนักก็หยุดดูทากที่เกาะที่ขาครั้งหนึ่งวันนี้เราใช้เวลาเดินถึงจุดที่พัก กลุ่มของเราตั้งที่พักอยู่บนยอดเขาพญานาคราชเราตั้งชื่อกันเอง ซึ่งจุดนี้มีว่านชนิดหนึ่งชื่อว่านพญานาคราชขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ต้นของว่ายชนิดนี้ผิวเปลือกค่ายงูเหลือมมีลวดลายสีเดียวกับงู หากถ้าเดินเพลิน ๆ ไม่สั่งเกตุก็ทำให้ตกใจได้นึกว่างูขนาดเล็ก เจ้าของพื้นที่ทาร์ซานบอย เล่าให้ฟังว่าว่านชนิดนี้เป็นว่านที่นำไปจัดทำจตุคามรามเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ระยะหนึ่ง และสามารถป้องกันพิษจากสัตว์ร้าย ๆ ได้หลายชนิด เราเดินถึงยอดเขาพญานาคราชก็ล่วงเลยเวลาเข้าไปเกือบสามโม่งเย็น พวกเราวางสัมภาระ และนั่งลงเพื่อตรวจดูบริเวณรอบ ๆ บอยบอกทีมของเราว่า เราพักกันที่นี้ก็แล้วกัน เมื่อได้ยินว่าเราจะนอนกันที่ยอดดงพญานาคราช ในส่วนตัวของผู้เขียนเองสิ่งแรกก็คือตรวจดูตัวทากผู้หิวโหยที่เกาะตามถุงเท้า รองเท้า และผิวหนังที่เจ้าตัวดูดเลือดนี้สามารถเข้าไปได้ เมื่อถอดถุงเท้าออกก็พบว่าเท้าซ้ายมีเจ้าทากน้อยสองตัวเกาะอยู่ที่หลังเท้ามันเกาะกินดูดเลือดอยู่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ชอบอยู่แล้วก็จับมันออกและเช็ดเลือดที่ไหล แต่บริเวณที่ถูกทากกัดทั้งสองจุดมีเลือดไหลออกมาอยู่ตลอดเวลาแต่เป็นเลือดที่ไหลในลักษณะที่ถูกไม่ขีดข่วนและไม่มีการเจ็บปวดแต่อย่างใด เท้าด้านขวามีทากเกาะอยู่และได้ตรวจดูบริเวณข้อเท้า หลังเท้าด้านขวา ร่องนิ้วเท้าก็ไม่พบเจ้าทากอีกซึ่งบริเวณเท้าด้านขวาถูกเจ้าทากกัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สัตว์ตัวจิ๋วที่ดูไม่มีพิษภัยอะไรมากไปกว่าเจ็บๆคันๆ หากเปรียบเทียบทากแล้วก็เหมือนยุงที่สูบหรือดูดเลือดเช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันล่วงล้ำ เข้าสู่ส่วนที่สำคัญของร่างกาย เจ้าตัวจิ๋วนี้กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่นักเดินทางท่องป่า ต่างตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ ขยะแขยง สร้างภาพให้เป็นมารร้ายตัวฉกาจฉกรรณ์ แต่การเดินทางเข้าไปในป่าหน้าฝนนั้น คงจะหนีไปไม่พ้นกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่พึงประสงค์ชนิดนี้อย่างแน่นอนอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ใช้ในการเกาะติดกับลำตัวเหยื่อคือ แว่นดูด (Sucker) ซึ่งมีอยู่ทั้งทางด้านหัวและด้านท้าย แต่มันสามารถดูดเลือดได้จากทางแว่นดูดด้านหน้าแต่เพียงด้านเดียว ส่วนแว่นดูดทางด้านท้ายทำหน้าที่ยึดเกาะ อย่างนุ่มนวล โดยที่เราไม่รู้สึกตัวเลย ป่าหน้าฝนอันชุ่มชื้นเป็นเวลาที่ทากดูจะเริงร่าเป็นพิเศษ ภาพที่นักเดินทางที่สาละวนกับการปลดทากออกจากขากางเกง หรือเสียงร้องวี๊ดว๊าย คงจะชินหูชินตาหรือเป็นสีสันของนักเดินป่าหลายๆท่าน แม้บางคนจะมีถุงกันทากสวมใส่ไว้ตลอดซึ่งความจริง ก็ไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรเท่าไหร่นัก เพราะหากไม่ปลดทากออกพวกมันก็จะคืบคลานขึ้นสูงจนหาทางดูดเลือดจนได้อยู่ดี จากที่เกาะต่ำๆ ก็ค่อยๆคืบคลานสูงขึ้นเรื่อยๆ ถุงกันทากคงช่วยได้แต่เพียงให้เราเห็นตัวมันก่อนที่จะดูดเลือดเรา วิธีกำจัดที่ง่ายที่สุดก็คือ มือของเรานั่นแหละที่ใช้ทั้งดึงทั้งเด็ดทากรับรู้เหยื่อของมันว่าอยู่ที่ไหน ได้จากแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินเพราะฉะนั้น การชิงเดินเป็นคนแรกๆ อาจจะปลอดภัยกว่าเดินท้ายๆ ทากเกาะติดไปกับลำตัวหรือขาด้วยแว่นดูดและอีกวิธีก็ใส่ถุงเท้าที่มีความยาวทับถุงกันทากอีกครั้งซึ่งปกติแล้วทากจะมี(Sucker) หรือแวนดูดเมื่อเกาะติดกับถุงเท้าแล้วก็จะใช้ส่วนหัวที่เป็น(Sucker) และรีดตัวเข้าไปในถุงเท้าเพื่อดูดเลือกแต่ภายในถุงเท้าจะมีถุงกันทากอีกชั้นซึ่งทากไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ ดังนั้นจึงเป็นการป้องกันที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากลำตัวของมันเหนียว และ ยืดหยุ่นได้ดีมากจนเราคาดไม่ถึง ทากดูดเลือดจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยการใช้แว่นดูดด้านท้ายยืดเกาะติดกับพื้น เมื่อกล้ามเนื้อตามเส้นรอบวงหดตัว มันก็จะยืดไปข้างหน้า ใช้แว่นดูดรอบปากยึดเกาะติดกับพื้น และค่อยๆปล่อยแว่นดูดด้านท้ายออกจากที่เกาะ ตอนนี้กล้ามเนื้อตามยาวจะหดตัว ดึงเอาส่วนท้ายของลำตัวไปเกาะข้างหน้าได้ เป็นวิธีกระดื๊บๆไปตามพื้นดิน หรือตามตัวของเหยื่อจนถึงจุดที่มันพอใจถึงจะหยุดวิธีการกัด และดูดเลือดของทากนั้น มันจะใช้ปากของมันซึ่งอยู่ทางแว่นดูดด้านหน้าเท่านั้น ภายในแว่นดูดด้านหน้าจะมีขากรรไกรที่มีลักษณะเป็นสามแฉก แต่ละแฉกก็จะมีฟันเล็กๆอยู่มากมาย ขากรรไกรของมันนี่แหละที่ทำให้เรามองเห็นแผลจากการดูดเลือดของมันเป็นสามแฉกเช่นกันขณะที่มันดูดเลือดจะปล่อยสาร Histamine เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว และHirudin ซึ่งสารดังกล่าวทำให้เลือดไม่แข็งตัว ดังนั้นหากเราถูกทากดูดเลือดจะไหลอยู่ช่วงหนึ่ง เลือดก็จะหยุดเป็นปกติจึงไม่น่ากลัวอะไรมากนัก พวกเราทั้งสี่คนเริ่มกลางผ้าใบ ผูกเปล ส่วน HOT ice ก็แยกไปผูกเปล เลยขึ้นไปทางเดินขึ้นยอดเจดีย์โดยไม่ห่างกันมากนักเป็นอันเรียบร้อยสำหรับที่นอน จากนั้นบอย และพรานเจ้าป่าทรแห่งเขาหลวงได้เดินลงทางลาดชันอีกครั้งเพื่อไปหาแหล่งน้ำมาประกอบอาหาร การหาน้ำครั้งนี้ใช้เวลาเกือบชั่วโมง จึงได้ยินเสียงคนคุยกันดังแวว ๆ มา เราทำอาหารกันง่าย ๆ และรับประทานข้าวกันท่ามกลางความหนาวเย็น และในช่วงคืนนี้เป็นคืนที่หมอกลงหนาจัดมาก น้ำค้างตกเหมือนฝนตก เนื่องจากอากาศหนาวเย็น หมอกลงหนา จนถึงเช้าบางครั้งการเข้าป่าเพื่อศึกษาธรรมชาติ สำรวจแหล่งท่องเที่ยวในหลาย ๆ คนจะมีความมุ่งหมั่น ความพยายามที่จะค้นหาสิ่งที่ตัวตนต้องการแต่ในส่วนตัวของข้าพเจ้าเองคิดเพียงว่าการได้ออกเที่ยวสัมผัสกับกลิ่นไอของป่า ความเป็นป่าซึ่งเราจะหาไม่ได้ในพื้นที่ที่เป็นถนนคอนกรีต ในสังคมเมือง ความรู้ตัวตนของตนเอง การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้นว่าเราทั้งสี่คนจะไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน ไม่รู้อุปนิสัยใจคอกัน แต่มีจิตใจเดียวกันคำพูดที่ผมได้ยินอยู่เสมอสำหรับเพื่อร่วมทาง ซึ่งอาจจะไม่ใช่การเดินทางในทริปนี้ ซึ่งสำหรับบอยแล้วเขาทำธุรกิจด้านท่องเที่ยวเดินป่า เที่ยวทะเลในพื้นที่โซลทางภาคใต้“ความสุขมันไม่ได้เดินมาหาเราหรอก แต่มันรอให้เราเดินไปหามันต่างหาก” หมอกลงหนามาก กว่าเราจะตื่นขึ้นมาโดยไม่มีการล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อประหยัดน้ำเราทั้ง 4 ลุกขึ้นมาหุงอาหาร ต้มกาแฟกินและนั่งคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆมือกล้องกิติมาศักดิ์ของเรา Hot ice ก็สาระวนเกี่ยวกับการถ่ายภาพบนยอดเขานาคราชตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นเราก็เก็บสัมภาระลงเป้สะพายหลังเตรียมเดินขึ้นยอดเขาเจดีย์ก็เกือบสิบโมงเช้า เราเดินแบบสบาย ๆ ประมาณชั่วโมงเศษก็บรรลุถึงเป้าหมายยอดเจดีย์ พวกเราตกลงจะพักกันบริเวณยอดเจดีย์เพื่อหาแนวทาง และดูวิว บนยอดเขาเจดีย์ว่ามีความสวย อลังการขนาดไหน เราวางสิ่งของและเริ่มกางเต้นตามที่เคยปฏิบัติกันมา บอยและทรอีกเช่นเคย อาสาลงหาน้ำเพราะเขาชำนาญทางในพื้นที่แหล่งนี้ ผู้นำทางและพรานป่าได้ลงหาน้ำเงียบหายชั่วโมงเศษก็ได้ยินเสียงคุยและเสียงต้นไม้หักดังมาจากฝังตรงข้ามที่เราเดินขึ้นมาจึงทราบว่าทั้งสองได้หาน้ำได้แล้วมาแต่ต้องใช้เวลาในการหาน้ำที่เป็นระยะเวลาไกลพอสมควร ดังนั้นเราจึงพูดคุยกันว่าหากเป็นทริปที่พานักท่องเที่ยวเพื่อขึ้นยอดเจดีย์แล้วปัญหาคือน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นปัญหาสำคัญสำหรับนักเดินป่า เราจัดเตรียมอาหารกันตามปกติ โดยฝีมีของพรานป่าทรอีกเช่นเคย และตามปกติแล้วเมื่อข้าพเจ้าหยุดเมื่อไรก็จะต้องตรวจดูว่ามีแขกที่ไม่รับเชิญมาเยี่ยมหรือไม่ จากผลการตรวจสอบมีบ้างแต่ไม่เป็นปัญหา ถึงช่วงเวลาค่ำผู้เขียนเองก็คว้ามีดเดินด้วยรองเท้าฟองน้ำเพื่อหาฟืนสุมไฟ และเข้านอนตามปกติเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คืนนี้ลมแรงคงเนื่องจากกลุ่มของเราขึ้นอยู่นอนอยู่บนยอดเจดีย์ที่เป็นส่วนยอดสุดจึงไม่มีที่หลบลมนี่เอง แต่คืนนี้ไม่มีหมอกลงเหมือนยอดเขาพญานาคราช อากาศในป่าไม่ว่าฤดูไหนก็จะหนาวเป็นปกติ ข้าพเจ้านอนหลับไปโดยไม่ตรวจว่าที่เท้าหรือข้อเท้ามีเจ้าป่าแห่งเขาหลวงมาเยี่ยมเยียนหรือไม่
เช้าอันหนาวเหน็บข้าพเจ้าตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงนกร้อง กับเสียงที่บอยบอกให้ มือกล้องของเราถ่ายภาพไว้ โดยที่ไม่ทราบเลยว่าเจ้าป่าแห่งยอดเจดีย์ได้เกาะติดกับเท้าข้างขวาระห่างร่องนิ้วนางกับนิ้วก้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ จากเจ้าทากตัวน้อยตัวเท้าก้านไม้ขีดขณะนี้ลำตัวของมันเกือบเท้านิ้วโป้งได้แต่ตกลงที่เปลข้าพเจ้าได้จับดูและได้ใช้มีดประจำตัวแทงเข้าไปในตัวของมันเลือดสีแดงข้นไหลออกมาแต่ที่นิ้วเท้าเลือดได้หยุดไหลและมีแต่รอยเลือดที่แห้งเล็กน้อยติดอยู่เท่านั้น เรากินข้าว กินกาแฟกันตามปกติจากนั้นก็เก็บสัมภาระขึ้นหลังออกเดินทางจากยอดเจดีย์โดยลงไปทางอีกฝากที่เดินมาจากดงยอดพญานาคราช เราเดินลัดเลาะลงตามแนวป่าไปเรื่อย ๆ อากาศเย็นสบาย เดินไปคุยกันไปจนถึงแหล่งน้ำก็ช่วงเที่ยวพอดีเราหุงข้าวกันที่แห่งน้ำนี้ มีน้ำตกลงมาจากซอกหิน เราอาบน้ำ สระผมเพื่อชำระร่างกาย ข้าพเจ้าถอดเสื้อออกตรวจดูก็พบเจ้าทากน้อยอีกสองตัวเกาะติดที่เสื้อ และอีกหนึ่งตัวเกาะบริเวณด้านหลังจึงให้ทรจัดการกับมันเสียข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่ามันขึ้นมาอยู่บริเวณด้านหลังได้อย่างไรนึกไปนึกมาก็พอจะเข้าใจว่าช่วงที่ลื่นล้มช่วงลงทางที่ลาดชันบนป่าอาจจะเป็นช่วงนั้นก็ได้ที่เช้าทากถือโอกาสเกาะติดเสื้อและมุดเข้าไปด้านหลังได้ หรือช่วงที่พักเหนื่อยแล้ววางเป้สพายหลังและช่วงที่เอาเป้ขึ้นสะพานไหล่คงไม่ได้ตรวจดูว่ามีเจ้าตัวจิ๋วเกาะอยู่ และจากการตรวจบริเวณข้อเท้าหลังเท้าก็มีทากอยู่แต่ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก แค่กัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และออกเดินทางกันอีกเพื่อหาที่พักแรมอีกคืนเราลงมา พอถึงทางด่านบอยเจ้าของพื้นที่ได้บอกกับพวกเราว่าคืนนี้เราคงพักกันที่นี่แต่คืนนี้บริเวณดังกล่าวไม่น่าไว้วางใจเพราะเป็นทางด่านอาจจะมีเจ้าถิ่นที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยียนทักทายเราเพราะฉะนั้น คืนนี้เราทั้งสี่คนควรนอนรวมกลุ่มกันไว้ กาง Flysheet รวมกลุ่มกันไฟสุ่มไว้เตรียมสำหรับทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า
เช้านี้เราทั้งสี่คนนั่งรับประทานเช้ากันอย่างง่าย ๆ ต้มน้ำชงกาแฟ และนั่งดื่มคุยกันเบาๆ และออกเดินทางสำรวจกันต่อเดินลงทางหุบเขาเราพบสถานที่ที่เคยมีการทำเหมืองแร่ดีบุกเก่า เราเดินทวนขึ้นเหนือน้ำต้นเหมืองและพักแรมกันล่องน้ำกลางเหมืองนั้นเองเรานั่งคุยกันบริเวณรอบกองไฟ ช่วงพบค่ำเราก็พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เลียงผาได้ลงมากินน้ำ เราพบตัวซึ่งอยู่ในระยะไม่ถึง 50 เมตร ทรเคยบอกว่าสัตว์ในพื้นที่ป่าทางภาคใต้จะไม่กลัวไฟที่เราก่อขึ้นซึ่งต่างจากสัตว์ป่าในพื้นที่ทางเหนือหรือในพื้นที่อื่นเพราะสัตว์จะไม่กล้าเข้าใกล้ไฟหากเราก่อกองไฟไว้ เนื่องจากพื้นที่ทางภาคใต้จะไม่มีไฟป่าให้สัตว์เหล่านี้ได้หนี้ตายดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าการที่เราก่อกองไฟจึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สัตว์คุ้นเคย เรานั่งคุยในเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่แต่ละคนได้ผ่านพบประสบการณ์ ทั้งเรื่องการเดินป่า การใช้ชีวิตในป่า คุณเอกนั่งคุยเรื่อย ๆ พร้อมกับ
เหล้าลิกอร์ ที่ยังเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย ลิกอร์เป็นเหล้าขาวที่บ้านของบอยเป็นผู้ผลิตขาย ข้าพเจ้าถามว่าเหตุใดจึงชื่อลิกอร์ก็ได้รับ่คำตอบว่า เมืองนครศรีธรรมราชในสมัยก่อนชื่อลิกอร์ จึงใช้ชื่อจังหวัดเป็นชื่อของเหล้า เรานั่งอยู่กันจนดึกพอสมควรก็แยกย้ายกันเข้านอน
เช้าแล้วก็เหมือนกับเช้าของทุกวันที่ผ่านมา ทรตื่นก่อนคนอื่นออกไปล้างจาน ชาม ส่วนผมตื่นเป็นคนที่สองลุกมาก็ก่อไฟซึ่งในช่วงคืนที่ผ่านมาไฟได้หมอดหมดไปแล้ว ป่าภาคใต้ต่างจากป่าเหนือก็เรื่องฟืนที่เก็บมาทำเชื้อเพลิงจะมีความชื้นสูงก่อไฟติดอยากจึงต้องใช้เวลาในการก่อไฟพอสมควรสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือยางในรถยนต์เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีไม่ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝน อากาศชื้นอย่างไร ก็ทำให้การก่อไฟง่ายขึ้น เมื่อไฟติดแล้วทรก็ เตรียมอาหาร และบรรเทาความหนาวเย็น เราจัดการกับอาหารมื้อเช้าเก็บของลงเป้ แต่เช้านี้เรายังจะไม่เดินต่อแต่ออกไปสำรวจด้านล่างของเหมือง เราเดินไปตามล่องน้ำ มีน้ำไหลกระทบก้อนหินเป็นแนวยาวปกติแล้วพื้นที่ทางภาคใต้เป็นป่าชื้นดังนั้นเราจะพบเห็นเฟรินส์ต่าง ๆ ที่เกาะตามโคตรหินเป็นสีเขียวขจีแทบมองไม่เห็นก้อนหินว่าก้อนหินชนิดนี้เป็นหินอะไร เราสำรวจเดินอยู่ประมาณชั่วโมงเศษก็เดินกลับที่เดิมที่เราพักและวางสัมภาระไว้ กลุ่มเรายกเป้ขึ้นบ่าออกเดินทางกันต่อ เราเดินตามป้ายของนักสำรวจที่มีพิกัด GPS บอกไว้ ผ่านหน้าผาที่ก้อนหินคว๊อสสีขาวทั้งแท่งตั้งตระง่านอยู่ด้านซ้ายมือ บอย ทร และ Hot ice ปีนขึ้นไปบนยอดเขา แต่ตัวผู้เขียนเองไม่ค่อยชอบที่สูงนักจึงลงไปสำรวจด้านล่าง จากนั้นเราก็นั่งต้มกาแฟดื่มกันมื้อเที่ยงมื้อนี้เราไม่ได้กินข้าวเที่ยงโดยเหตุผลที่ว่าอาหารเริ่มลดน้อยลงแต่เราจะต้องใช้เวลาเดินอีก 1 วัน ดังนั้นเราจึงต้องประหยัดเพื่อความอยู่รอด จากนั้นเราเดินตามทางของผู้สำรวจลงเขามาเรื่อย ๆ จากการอ่านพิกัดความสูงจากพันกว่าเมตร ลงมาถึงสามร้อยกว่าเมตรและลงสู่น้ำตกที่ได้ยินเสียงตั้งแต่แรก พักเหนื่อยกันที่น้ำตกและพยายามหาทางที่นักสำรวจใช้เดินเพื่อเข้าทางเดินเข้าทางด่าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบร่องรอย หรือฝนตกจนล่องรอยดังกล่าวลบหายไป บอยเอยปากบอกว่าถ้าหาทางไม่พบอาจจะต้องโรยตัวผ่านหน้าผาที่มีน้ำตกกันไป โดยหันมาถามข้าพเจ้าว่าพอไปได้หรือไม่ข้าพเจ้าตอบว่าหากจำเป็นก็ไปได้ ปกติแล้วข้าพเจ้าไม่ชอบที่สูงแต่หากจำเป็นและไม่มีทางเลือกก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน ข้าพเจ้าเอยตอบไปว่าลองหาทางตัดขึ้นสันเขาก่อนดีกว่า เพื่อหาแนวทางกลับด้านล่างอีกครั้งซึ่งการโรยตัวผ่านน้ำตกลงด้านล่างจำเป็นต้องใช้เวลาเช่นกัน แต่เราก็ยังมีทางเลือกอื่นได้แก่การตัดขึ้นสันเขาเลยแม้ว่าจะเป็นทางชันก็ตาม ดังนั้นบอยตัดสินใจทันทีเดินตัดขึ้นสันเขา แล้วเราก็พบความสำเร็จเราพบเส้นทางที่นักสำรวจใช้เดินอยู่บนสันเขานี้เอง เส้นทางที่ทำให้เราหลงก็อาจจะเป็นทางน้ำ น้ำตก เพราะว่าเมื่อลงน้ำแล้วการที่จะขึ้นเพื่อหาทางใหม่นั้นจะไม่มีจุดที่เราพอจะสังเกตได้ และจะไม่ทราบได้เลยว่าบุคคลที่ใช้เส้นทางนี้เริ่มต้นที่บริเวณใด น้ำอาจจะทำลายทางขึ้นจนไม่สามารถเห็นเส้นทางเก่าได้ ดังนั้นการเดินจึงยึดเส้นทางด่านของสัตว์เป็นที่สังเกตไว้ และการดูล่องน้ำเป็นสำคัญ เรารีบเดินลัดเลาะผ่านต้นไม้ลงพื้นลงอีกครั้งจนถึงธารน้ำด้านล่าง เราวางสัมภาระ สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่เราสำรวจคือแหล่งน้ำแห่งนี้มีอาหารสำหรับเราหรือไม่ ปลา พืชผัก เมื่อดูพิกัดจากจุดสุดท้ายที่อยู่ประมาณสี่ร้อยกว่าเมตรถ้าอยู่ในระดับนี้ก็ประมาณสามร้อยกว่าเมตรต้องมีอาหารพอที่ประทังชีวิตในค่ำคืนนี้ได้อย่างแน่นอน ความคิดและกังวลใจก็หมดไปเมื่อเราพบปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำตัวไม่ใหญ่มากแต่ก็ที่สามารถนำมาเป็นอาหารได้ เราทั้งสี่คนตัดสินใจพักแรมกันที่ธารน้ำแห่งนี้เพื่อหาอาหารเย็นมื้อนี้ก่อน จะได้มีเรียวแรงเดินทางต่อในวันต่อไป เราจัดการกางผ้าใบ ทาร์ซานบอยกาง Flysheet อย่างเช่นที่เคยปฏิบัติมา โดย Flysheet ของบอยก็จะมี Hot ice และบอยนอนใน Flysheet ส่วนผู้เขียนเองขึ้นไปนอนอีกสถานที่หนึ่งใช้ต้นไม้ต้นเดียวกันไม่ห่างกันมากนัก ทรเริ่มใช้วิชาพรานป่าที่ได้เรียนรู้จากผู้เป็นพ่อที่ได้สอนให้ในครั้งเยาว์วัย จนเป็นหนุ่มและจากพรานผู้ล่ามาเป็นพรานผู้อนุรักษ์แทน เขาผูกเบ็ด ส่วนข้าพเจ้าก็หาฟืนก่อไฟ ข้าพเจ้าหาฟืนไว้เป็นจำนวนมาก ก่อไฟแล้วก็หุงข้าวด้วยหม้อสนาม แต่สำหรับมื้อนี้ยังไม่ทราบว่าจะกินข้าวกับอะไรกันเลย สัมภาระที่เป็นอาหารก็เหลือแต่เกลือ เครื่องแกง พริก เวลาล่วงเลยไปสักพักใหญ่ ๆ ทรก็ใช้ความสามารถในการตกปลา ดุกภูเขาขนาดเท่าหัวแม่มือ ข้าพเจ้าเห็นปลาจึงเอยว่าปลาดุก ทรบอกว่าปลามัด ทางภาคใต้เรียกว่าปลาดุกภูเขาว่าปลามัด ปลาชนิดนี้ต่างกับปลาดุกทั่วไปได้แก่ มีครีบแต่จะไม่ทำให้คนเจ็บปวดจะไม่ทิ่มแทงมือ สถานที่ที่เราพักค้างแรมเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณสามร้อยกว่าเมตรปลาที่ที่เราจับได้บริเวณที่พักจึงตัวไม่โตมากนัก จากนั้นเราก็นั่งรอผลปลา ทรหายเข้าป่าไปพักใหญ่ก็ได้กบตัวน้อยมาสองสามตัว วิชาพรานป่าที่มีประสบการณ์ในป่าแห่งนี้จึงทำให้เขาจัดการกับกบทำเหยื่อเพื่อตกปลาเรานั่งคอยที่พักริมกองไฟ นั่งคิดถึงอะไรเรื่อย ๆ ในเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาบ้างครั้งก็คิดตนเอง ว่าเรามาทำอะไรที่นี่ ย้อนคิดถึงตนเอง พรางก็ยกไม้ที่เก็บมาตั้งแต่ช่วงเย็นใส่และสุ่มไฟให้สว่างไว้ ข้าพเจ้านั่งอยู่ท่าความเงียบ ส่วน Hot ice ก็นั่งอยู่บนเปลนั่งบันทึกข้อมูลของตนเอง จนได้เห็นแสงไฟจากแบตเตอรี่ ที่ทรใช้ติดกับศีรษะแสงไฟวูบวาบ ไปมาและเดินมาอยู่ตรงข้างกองไฟผลที่ได้คือปลามัดอยู่ในจานประมาณสิบกว่าตัว ข้าพเจ้าจัดการทำปลาหันเป็นท่อน ๆ ล้างด้วยเกลือให้สะอาดจากนั้นเป็นหน้าที่ของ Hot ice เป็นกุ๊กผัดเผ็ดปลามัด เราทำอาหารอย่างเรียบง่าย ทรกับบอยออกหาปลาอีกครั้งแล้วก็กลับมาพร้อมด้วยปลามัดอีกจำนวนหนึ่ง และกบอีกสองสามตัว จากนั้นเรากินข้าวกันท่ามกลางกองไฟที่อยู่ใกล้ ๆ และแสงจันทร์ที่นวลสว่างไปทั่วบริเวณ เราพูดคุยกันบ้างตามประสานักเดินป่า นักผจญไพร ทรก็เริ่มออกสำรวจพื้นที่ใกล้ ๆ เพื่อหาอาหารอีกครั้ง ๆ นี้เป็นการหากบไม่ใช่ปลาอย่างเช่นเคย เรานั่งรอทรอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ทรก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าเจอเจ้าถิ่นเข้าให้ตัวใหญ่มากแต่เป็นหมูป่า ทรเอยกับกลุ่มเราว่าหากเป็นสมัยก่อนที่เป็นนักพรานนักล่าสมัยนั้น ได้กินหมูย่างแน่นอน ทรได้กบมาห้าหกตัวผสมกับปลามัดที่ได้มาก็พอที่จะเป็นอาหารมือเช้าได้เรานั่งคุยกันอีกพักก็แยกย้ายกันเข้านอน
วันสุดท้ายของการอยู่ร่วมกันในป่ากลุ่มเราลุกออกจากเปลสนามก็ออกมาทำการล้างหน้าแปรงฟัน ส่วนมื้อกล้องของเรายกกระเป๋ากล้องทั้งใบออกมาเช็ดทำความสะอาดผึ่งแดดโดยเหตุผลที่ว่าในระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาอุปกรณ์ได้จัดเก็บอยู่ในกระเป๋าความชื้น ไอน้ำได้เกาะจับทำให้ต้องนำมาให้ได้แสงสว่างบ้าง เช้านี้ผมเป็นผู้หุงข้าวอีกเช่นเคยแต่ด้วยความไม่ระวังเล็กน้อยทำให้ข้าวเกือบไหม้แต่ไม่ถึงกับไหม้จนไม่สามารถกินได้ เราจัดการกับปลามัดโดยนำปลาส่วนหนึ่งมาย่างร่วมกับกบอีกสองสามตัวและส่วนหนึ่งนำไปผัดกับข้าวรับผัดเผ็ดที่เหลือจากการกินในช่วงกลางคืนที่ผ่านมานับว่าเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้เรากินข้าว ล้างจานชามกันเรียบร้อยแล้วก็เก็บสัมภาระออกเดินต่อเพื่อหาทางออกจากป่า จากจุดนี้ข้าพเจ้าเองนึกอยู่ในใจว่าป่าช่วงนี้เป็นป่าช่วงด้านล่างลงมาอยู่ในระดับน้ำทะเลอยู่ที่สามร้อยกว่าเมตรเจ้าทากน้อยคงไม่มีอีกแล้ว แต่ข้าพเจ้าคิดผิดเสียแล้วแม้ว่าจะเป็นพื้นที่ที่อยู่ในระดับน้ำทะเลน้อยมากเจ้าทากน้อยก็ยังตามเกาะติดอยู่เช่นเคย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าวิตกกังวลนัก เราใช้เวลาเดินกันอยู่ประมาณชั่วโมงเศษและแล้วเราก็เดินเจอสิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็นชุมชนเมือง ต้นกล้วย นักเดินทางหรือนักเดินดงที่อยู่ในป่า หากเจอกล้วย ไม่ว่าจะเป็นกล้วยป่า หรือกล้ายบ้าน หมายถึงว่าเราอยู่ในระยะของคนพื้นล่างแล้ว เราเดินอีกพักใหญ่ ๆ เราก็เจอต้นยางพารา เราเจอทางออกแล้วและเราก็เดินมาที่ทางข้ามน้ำ พบพรานเก่า ลุงแสงแก่ตกปลาอยู่ เรานั่งคุยกับลุงแก่ครู่ใหญ่ ๆ ถามถึงในเรื่องต่าง ๆ บนป่าแกเล่าให้ฟังว่าสมัยเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนได้มีการทำเหมืองดีบุกในพื้นที่ที่กลุ่มของเราเดินมา แต่ได้เลิกไปนานแล้ว สภาพพื้นป่าจึงเข้าอยู่ในสภาวะของป่าดิบ เราถามถึงว่าที่ที่เราอยู่เรียกว่าหมู่บ้านอะไร อยู่บริเวณไหนเมื่อทราบแล้วเราก็ยกมือไหว้ล้ำลาขอบคุณลุงและลาออกเดินทางจนถึงจุดรถยนต์มารับก็เป็นอันสิ้นสุดของการสำรวจป่าแห่งนี้การที่กลุ่มเราที่ไม่มีความคุ้นเคยกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีขอบเขต อิ่มก็อิ่มด้วยการ อดก็อดด้วยกัน เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน ปัญหาและอุปสรรคก็แก้ไขร่วมกัน อาจจะมีความขัดแย้งกันบ้างแต่ก็มีเหตุผลของตนเอง ยอมรับกันได้ ถอยกันคนละก้าว ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน แบ่งบันให้กับคนที่ด้อยโอกาสกว่า โลกเราคงน่าอยู่ และสงบสุข


ความผิดปกติของร่างกายของการเข้าสำรวจป่าเขาหลวง ณ อุทยานแห่งชาติเขานันครั้งนี้
ตัวข้าพเจ้าเอง ปกติแล้วข้าพเจ้าจะเป็นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่ตลอดเวลามีน้ำมูกไหลในช่วงเช้า ๆ ของทุกวันเมื่อตื่นนอนทุกครั้งที่ผ่านมาน้ำมูกจะไหลและคัดจมูกอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นมานานพอสมควรหลายปี จากการที่ข้าพเจ้าได้เดินป่าอยู่เป็นประจำในพื้นที่ทางภาคเหนือ นครสวรรค์ กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ ตาก ซึ่งการเดินในพื้นที่ดังกล่าวข้าพเจ้าไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับทากที่เกาะกินดูดเลือดผิดกับครั้งนี้ที่ถูกทากกัดมากกว่า 10 จุดในบริเวณหลังเท้าทั้งสองข้างในช่วงที่รู้สึกปวดคงเป็นวันที่ 20 มีนาคม 2551 ช่วงสุดท้ายที่ค้างคืนที่ริมน้ำตกหรือจุดหาปลาดุกภูเขาข้าพเจ้ารู้สึกปวดที่หลังเท้าด้านซ้ายมากจึงขอยาหม่องของทรมาทา จากการสังเกตหากมีการเดินแล้วจะรู้สึกปวดแต่ไม่มากนักพอที่จะทนได้ จากวันที่ 21 มีนาคม 2551 เป็นต้นมาข้าพเจ้าไม่ได้คิดในเรื่องที่มีโรคภูมิแพ้หรือแพ้อากาศในช่วงเช้าเลยจนกระทั่งเดินทางกลับบ้านที่ราชบุรี ถึงช่วงเช้าวันที่ 22 มีนาคม 2551 ช่วงสาย ๆ ทางโรงเรียนลูกชายได้เชิญผู้ปกครองเข้าไปเพื่อประชุมในเรื่องต่าง ๆ ของโรงเรียนจากนั้นข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านที่ราชบุรี ข้าพเจ้าอยู่ที่บ้านราชบุรีตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2551 จนถึงเช้าวันที่ 25 มีนาคม 2551 ข้าพเจ้าได้ขับรถยนต์มาปฏิบัติงานตามปกติจนถึงวันที่ข้าพเจ้าได้เขียนบันทึกฉบับนี้ โรคภูมิแพ้ที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่ไม่ได้เป็นปัญหาอุปสรรค์เลย ซึ่งข้าพเจ้าคิดได้ก็คงจะเป็นวันที่ 24 มีนาคม 2551 เพราะในช่วงเช้าของทุกวันข้าพเจ้าตื่นนอนจะต้องลงมาสั่งน้ำมูกทุกครั้งแต่เช้าวันนี้ไม่มีอาการดังกล่าว ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็คิดแต่เพียงว่าวันนี้คงไม่แพ้อะไรจึงทำให้น้ำมูกไม่ไหล แต่จากวันนั้นถึงวันที่ 1 เมษายน 2551 อาการของข้าพเจ้าก็ไม่เกิดอาการของโรคแพ้อากาศหรือภูมิแพ้อีกจนข้าพเจ้าแปลกใจว่าอาการดังกล่าวหายได้อย่างไรในเมื่ออาการดังกล่าวเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของข้าพเจ้าตลอดมา ตั้งแต่ฝนเริ่มจะตกก็จะรู้สึกคัดจมูก รับประทานอาหารไปก็ต้องสั่งน้ำมูกไปเป็นประจำ จนต้องนำยาแก้แพ้มาติดกระเป่าไว้เป็นประจำซึ่งยาดังกล่าวจะไม่ขาดกระเป๋าข้าพเจ้าอย่างเด็ดขาด บางครั้งแค่จาม 1-2 ครั้งน้ำมูกก็จะไหลอยู่ตลอดเวลาทั้งวันจนต้องนำยาที่เก็บในกระเป๋ามารับประทานและนอนผักผ่อนสัก 1-2 ชั่วโมงอาการดังกล่าวก็จะหายไปซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของข้าพเจ้าไปเสียแล้วในเรื่องการแพ้อากาศหรือภูมิแพ้ จนถึงวันที่ 1 เมษายน 2551 ที่เขียนบันทึกเขาหลวงข้าพเจ้าไม่มีปัญหาดังกล่าวแม้แต่ครั้งเดียว จึงทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจว่าเกิดจากสาเหตุใด เหตุใดอาการดังกล่าวจึงไม่เกิดกับตัวข้าพเจ้าอีก ไม่มีอาการดังกล่าวให้เป็นที่กังวนใจ น้ำมูกไม่ไหลในช่วงเช้า ถึงแม้นว่าการปฏิบัติงานประจำจะมีการจามอยู่บ้างแต่ก็ไม่ทำให้เกิดน้ำมูกไหลจนต้องหายามารับประทานอีก จากวันที่15 มีนาคม 2551 จนถึงวันที่ 1 เมษายน 2551 ข้าพเจ้าไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคแพ้อากาศหรือภูมิแพ้อีกและจะเริ่มมีปัญหาอีกครั้งในช่วงเดิน เมษายน แต่ก็ไม่เหมือนครั้งที่เคยเป็นมามากนัก
สารสำคัญ 2 ชนิดที่ทากปล่อยเข้าสู่แผล ดังนี้
1.สารที่มีองค์ประกอบคล้ายกับฮีสตามีน (Histamine) ที่จะช่วยกระตุ้นหลอดเลือดของเหยื่อให้ขยายตัว
2. สารฮีรูดีน (Hirudin) มีคุณสมบัติต้านทานการแข็งตัวของเลือดซึ่งจะทำให้เลือดของเหยื่อไหลไม่หยุด ถึงแม้ว่าทากจะปล่อยตัวหลุดไปแล้วเป็นที่สงสัยกันว่าหน้าแล้งแล้วทากจะไปอยู่ที่ไหน เพราะทากจำเป็น
ต้องมีผิวหนังที่ชุ่มชื้นตลอดเวลา มันจึงไม่สามารถทนทานกับสภาพที่แห้งแล้งได้เมื่อถึงหน้าแล้ง ทากจะค่อยๆรวมตัวกันไปอยู่ในที่มีความชื้นสูงเช่น ริมลำธาร แต่มันจะไม่ลงไปแช่ในน้ำโดยตรง มันจะใช้วิธี
มุดลงไปใต้ดินที่มีความชื้นสูงกว่าในช่วงระยะเวลานี้ พวกมันอยู่นิ่งๆไม่มีการตอบสนองใดๆ อาจกินเวลาถึง 6 เดือน เพื่อรอให้ฤดูฝนมาเยือนอีกครั้ง ทากก็เช่นเดียวกับไส้เดือน คือเป็นกระเทยมีสองเพศในตัวเดียวกัน แต่จะไม่สามารถขยายพันธุ์ด้วยตัวเองจำเป็นต้องจับคู่กัน เพื่อแลกเปลี่ยนเชื้อพันธุ์ ทากที่แสดงเป็นตัวผู้จะปล่อยสเปิร์มเข้าสู่ทากที่แสดงเป็นตัวเมียและขยายพันธุ์ออกลูกออกหลานต่อไปใช่ว่าทากจะมีแต่ด้านร้ายกาจ ในทางการแพทย์พบว่าทากก็มีประโยชน์ โดยการนำทั้งตัวทาก หรือสารที่ได้มาจากตัวทากซึ่งก็คือ Hirudin มาใช้ในการทำให้เส้นเลือดไม่อุดตัน โดยเฉพาะเส้นเลือดที่หัวใจ ทุกชีวิตต่างก็มีด้านดีและด้านร้าย แล้วแต่มุมมองว่าจะมองเห็นด้านไหนมากกว่ากัน ดั่งเช่นเจ้าทากสัตว์ตัวจิ๋วแห่งป่าดิบ แม้จะเป็นสัตว์ที่ใครๆต่างพากันขยะแขยงและรังเกียจแต่ถึงอย่างไรทากก็เป็นส่วนหนึ่งของสมดุลย์ภายในป่า และยังสร้างสีสันให้แก่นักเดินป่า แล้วคุณล่ะเริ่มรักเจ้าทากตัวน้อยนี้ขึ้นมาบ้างหรือยัง

ต๋อยแซเมบ้
1 เมษายน 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น