12 ต.ค. 2553

สันเย็น วังวนแห่งป่าหลังคาแดนใต้

คลิ๊กที่นี่เลย
นับจากการเดินขึ้นสำรวจยอดเจดีย์ซึ่งมี ทาร์ซานบอย ทร เอก และผม ตลอดเรื่อยมาจนถึง ทริป 7.5.3 เป็นทริปที่มีทั้งหมด 7 ชีวิต ชายสี่หญิง 3 บอย บ่าว เอก ต๋อย เล็ก แพน และเอ๋ ซึ่งคนสุดท้ายก็ได้ไปทำตามใจขวัญอยู่ที่ปาย“บ้านคุณนายตื่นสาย” และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ลงสู่นครศรีธรรมราช พาคณะที่ใช้ชีวิตอยู่บนรถออฟโรดมาเดินป่าสันเย็น ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปใหญ่รวมทั้งหมด 19 ชีวิต ทริปนี้ผมไปในสถานะภาพคนแบกของ ลองเข้าไปดูป่าแดนใต้ดูบ้างว่ามันโหด มัน ฮาขนาดไหน

4 ต.ค. 2553

นับถอยหลังเพื่อย่ำไปข้างหน้า

จากประสบการณ์ของหลายๆคนที่ผมได้ฟังมาบางคนตั้งใจ
ลาออกจากงานแบบเงียบๆไม่ให้ใครรู้โดยจะรู้อีกทีก็ส่งใบลาออก
ไปแล้วไม่มีการบอกกล่าวว่าลาออกเพราะอะไร
ซึ่งทำให้คนที่เหลืออยู่ไปนั่งคิดและคาดเดากันเอาเองถึงเหตุผล
การลาออกในขณะที่ยังมีคนอีกกลุ่ม(ซึ่งดูเหมือนจะคับแค้นใจมาก)
ต้องการลาออกแบบยิ่งใหญ่ประกาศให้ทุกคนในในองค์กรของตน
ได้รับรู้พร้อมทั้งชี้นิ้วทั้งสิบนิ้วไปที่ต้นเหตุของการลาออกซึ่งไม่ว่า
จะลาออกด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ ทั้งสองวิธีนี้ก็เป็นการลาออกที่ไม่ค่อย
สวยเท่าไรนักสำหรับตัวผมเองแล้วการลาออกนี้เป็นการตัดสินใจลา
ออกเพราะตัวเราเองไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่งในองค์กรการลา
ออกหมายถึงความตั้งใจของคนคนหนึ่งในการออกจากองค์กร ๆจึง
ไม่อยากใช้คำพูดว่าทำๆไปเถออะไม่ต้องทุ่มเทมากหรอกเดี๋ยวก็ออกแล้ว
ถึงตัวผมเองจะไปแล้วแต่ก็ไม่ได้เป็นการไปลับไม่กลับมาใจยัง
คงอยู่กับองค์กรและเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเสมอผมไปแล้วคนอยู่ก็อวยพร
ให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยน๊ะ
จากใจ...ฟังเพลงสบายกว่า

30 ก.ย. 2553

ลิง


พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าจิตของคนเรานั้น เหมือนกับลิง เราจึงเรียนรู้เรื่องของจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อใด มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายในที่สุด จนกลายเป็นว่า “กะปิ” ถึงจะร้าย ก็ไม่ร้ายเท่า “ความเกลียดกะปิ” ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะ ไม่ใช่เพราะกะปิ ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง โดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิง วางไว้เป็นเหยื่อล่อวันดีคืนดี ลิงมาที่สวน เห็นถั่วอยู่ในกล่องก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่วแต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่องเพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้ลิงพยายามดึงมือ เท่าไหร่ก็ไม่ออกพอชาวบ้านมาจับก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียวสุดท้ายก็ถูกคนจับได้ ลิงหาได้เฉลียวใจว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น มันก็เอาตัวรอดได้แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกมีหลายอย่างที่เราอยากได้ใฝ่ฝันจึงถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่นเวลาประสบปัญหา เพียงแค่คลายสิ่งที่ ติดยึดนั้นเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลายแต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย จึงเกิดผลเสียตามมามากมายไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึดจะชอบหรือพึงใจกับอะไรก็ตามอย่าถึงกับยึดติดจนเหนียวแน่นเกินไป เพราะโอกาสที่หน้ามืดตามัวนั้นมีสูงจนหาทางออกไม่เจอปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น ถ้าเรารู้จักปล่อยวางบางสิ่งเสียบ้าง มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะบ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาเท่านั้นหากเป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียวความจริง การอยากผลักไสอะไรสักอย่าง ก็เป็นการติดยึดอีกแบบหนึ่งนั่นเองทั้งๆ ที่ลิงพยายามถูกำจัด กลิ่นกะปิไปจากมือก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดมหากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้ทั้งรู้ว่ากลิ่นกะปินั้นเหม็นแต่ก็ดมมือไม่ยอมเลิกง่ายๆ ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าเราจะโกรธอะไรหรือเกลียดใครก็มักดึงสิ่งนั้นหรือคนนั้นเข้ามาในจิตใจให้ครุ่นคิดเสมอไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางเสียที ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ปล่อยวางเสียเถิดแล้วใจเราจะเบาขึ้นเป็นกองความทุกข์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเพราะพลัดพรากจากสิ่ที่รักหรือประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาที่มันบีบคั้น กดทับจิตใจเราไม่หยุดหย่อนเสียทีก็เป็นเพราะเราไปยึดไปแบกมันเข้าไว้ ทั้งวันทั้งคืนในหลายกรณีความทุกข์ก็ไม่ได้มาจากไหนหากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อยดังเจ้าลิงหวงถั่วนั่นเอง

ตุลา 14 ถึง ตุลา 53



เดือนตุลาคม เดือนที่มี "ลา" และมีหลาย ๆ อย่างที่มีความผันแปร ทั้งข้าราชการที่ทำงานมาค่อนชีวิตได้เป็นอิสระในตัวเองและเมื่อย้อนเวลาไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน กับ "เหตุการณ์นองเลือดเพราะการเมือง" เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 "วันมหาวิปโยค" ก็เกิดขึ้นเดือนตุลาเช่นกัน นักศึกษา ประชาชนชาวไทย กว่า 5 แสนคนรวมตัวกันเพื่อ เรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาล หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ นำไปสู่การเลือกตั้งช่วงต้นปี 2518 แต่เอาเข้าจริงสถานการณ์รุนแรงก็ยังมีควันหลง ยังมีการเรียกร้อง-เดินขบวนของกลุ่มชนชั้นต่าง ๆ แล้วที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ "6 ตุลาฯ มหาโหด" เลือดไทยต้อง หลั่งนองอีกครั้งเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 จากการที่เจ้าหน้าที่และกลุ่มที่รัฐสนับสนุน ได้ล้อมปราบ และมีการสังหารนักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมประท้วงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อ ขับไล่จอมพลถนอมออกนอกประเทศ ตุลาฯ 2516 ถึงตุลาฯ 2551 ช่วง 35 ปี กับเหตุนองเลือดเพราะการเมือง 4 ครั้ง ก็สุดแท้แต่ใครจะมองว่าเมืองไทยและประชาชนคนไทยได้หรือไม่ได้อะไร แต่ที่เป็นจริงและชัดเจนเห็นชัด ๆ ทุกครั้งก็คือประชาชนได้เสียเลือดเนื้อ เสียชีวิตไปกับเหตุการณ์ทุกครั้งจนหลายคนบอกว่าประชาชนได้แค่เสีย จนถึงวันนี้ก็ยังดูเหมือนเป็นวังวนซ้ำๆซากๆ แล้วขวานของเราจะเป็นอย่างไร ฟังเพลงคลิ๊กขวานไทยใจหนึ่งเดียว

11 ส.ค. 2553

เพราะโลกนี้มีเรื่องราวที่น่าค้นหา


หนึ่งในความใฝ่ฝันสำหรับนักเดินป่านักสำรวจแล้วม่อนจองภูชี้ฟ้าเขาหลวง ภูกระดึง
โมโกจูและอีกหลายๆสถานที่ที่ยังมีผู้คนอีกมากมายหลายๆคนต้องการเข้าไปสัมผัสหาก
ยังมีสถานที่ที่ผมได้เข้าไปสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่าและยังไม่สามารถค้นหาให้จบลง
ได้สักครั้งเดียวและยังมีความปรารถนาที่จะสัมผัสและค้นหาจากการได้เดินป่าและ
พูดคุยประสบการณ์กับนักสำรวจเดินป่าบ่อยครั้งที่ผมพูดว่า “ทำไมคนเดินป่าล
เที่ยวป่าจึงไม่สนใจป่าแถบนี้บ้าง”ในการเดินป่าในหลายๆพื้นที่ ในความคิดของผมแล้วพื้นป่าตะวันตกตั้งแต่นครสวรรค์กำแพงเพชร
ตากยังเป็นพื้นที่ที่ยังน่าค้นหาและเข้าไปสัมผัสในบางพื้นที่ยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจังโดยเฉพาะพื้นที่ในเขตรับผิดชอบ
ของอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้าจนจบพื้นในอำเภอแม่สอดจังหวัดตากดินแดนแห่งนี้ยังเป็นสิ่งเล้นลับสำหรับผู้ที่ยากเข้าไปสัมผัส
ขุนเขาน้ำตกอีกหลายๆแห่งยังหลงสำรวจโดยแฉพาะเส้นทางตั้งแต่น้ำตกคลองโปร่งคลองน้ำแดงถึงยอดเขาเย็นจนเข้าเขต
จังหวัดตากยังเป็นสิ่งที่น่าเข้าไปสัมผัสเป็นอันมากในส่วนของผู้นำทางแล้วแถบจะหาบุคคลที่รู้เส้นทางที่ชำนาญได้ยากยิ่งนักจะ
มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ที่อยู่ที่หน่วยโล๊ะโค๊ะ เพียงคนเดียวกระเหรียงปากากะยอชื่อดิจิที่พอจะนำพาพวกเราเข้าพื้นที่ได้
เพราะส่วนนั้นเป็นขุนเขาสลับซับซ้อนถึงจะไม่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากมายนักแต่เป็นพื้นป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไผ่
นับร้อยๆสายพันธุ์พรรณไม้ต่างๆกล้วยไม้ป่าจำนวนมากสัตว์ป่าคงมีอีกสักครั้งหรือหลายๆครั้งที่จะเข้าสำรวจ เรียบว่าเป็นทาซาร์
อยู่ในป่านั้นเลย

30 ก.ค. 2553

เงินนั้นไม่สำคัญเสมอไป

เงินนั้นไม่สำคัญเสมอไป แต่จำเป็นต้องใช้ มาดูสิว่าเงินซื้ออะไรได้บ้างและซื้ออะไรได้
เงิน ซื้อเตียงนอนได้ แต่ซื้อการหลับเป็นสุขไม่ได้
เงิน ซื้อกระดาษปากกาได้ แต่ซื้อความเป็นกวีไม่ได้
เงิน ซื้ออาหารดีๆ ได้ แต่ซื้อความอยากรับประทานไม่ได้
เงิน ซื้อความประจบสอพลอได้ แต่ซื้อความจริงใจไม่ได้
เงิน ซื้อการตามใจได้ แต่ซื้อความจงรักภักดีไม่ได้
เงิน ซื้อเพชรนิลจินดาได้ แต่ซื้อความงามไม่ได้
เงิน ซื้อความสนุกชั่วคราวได้ แต่ซื้อความสุขไม่ได้
เงิน ซื้อเพื่อนร่วมเดินทางได้ แต่ซื้อเพื่อนแท้ไม่ได้
เงิน ซื้ออำนาจราชศักดิ์ได้ แต่ซื้อปัญญาไม่ได้
เงิน ซื้อคนได้ในบางคน แต่ซื้อความเป็นคนไม่ได้
เงิน ซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ แต่ซื้อชีวิตไม่ได้ เพลงวิญญานไม่ขาย

ชีวิตคนเรามีแค่นี้หรือ







เช้าวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่กลับลูกชาย
ช่วงเช้าเอ๋ยถามลูกว่าวันนี้ไม่ไปโรงเรียนหรือ ลูกเอยขึ้นมาว่า
“ชีวิตคนเรามีแค่นี้หรือ เรียนหนังสือ แล้วทำงาน แล้วก็ตาย?”
เจอคำถามหรือคำบ่นก็ไม่รู้ แบบนี้ทำเอาผมอึ้งไปเลย
นั่งทำใจอยู่พักใหญ่ว่าจะตอบลูกว่าอย่างไรดี จึงตอบไปว่า
คนที่มีชีวิตยังต้องมีการ
พัฒนาและได้รับโอกาสในการพัฒนาไม่ว่าเราจะเรียนหนังสือหรือทำงาน
เราสามารถพัฒนาได้ทั้งนั้น เป็นการพัฒนาให้เกิด “สติ”
ให้เกิด “ปัญญา” เพื่อที่ว่าเราจะได้ “หลุดออก” วัฎจักรกงกรรมกงเวียน
เฉกเช่นเดี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โชคดีลูกที่เราได้เกิดมา “เป็นคน”
เราจึงมีโอกาสที่จะได้พัฒนาตนไปสู่สิ่งที่ สูงกว่า เอนี่เรากำลังพูดอยู่
ลูกที่เป็นวัยรุ่นแล้วจึงถามกลับไปว่าทำไมจึงถามเรื่องลูกตอบว่า
ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนเราต้องใช้เวลาครึ่งค่อนชีวิต
อยู่กับตำรับตำราและการเรียนการสอน แต่ก็ลองคิดเอาดูน๊ะ
ครับเราใช้เวลากับชีวิตอย่างไร
อายุ 1-3.5 ปี อยู่กลับพ่อแม่ที่บ้าน
3.5-23-24 ปี อยู่กลับการเรียน โรงเรียน
25-60 อยู่กับการทำงาน – เรียนเพิ่ม
60 ปีขึ้นไป เที่ยวถ้าไปไหว
ป่วยไปโรงพยาบาลหาหมอ
แล้วเราให้อะไรกับชีวิตของเรามากไปกว่านี้อีก
หรือต้องใฝ่หาสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตอีกใฝ่คว้าสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมหรือทำให้เหมือนคนอื่นที่เขาสามารถทำได้
เช่นนั้นมันช่างเป็นคนที่น่าสงสารยิ่งนัก


(ฟ้าเป็นของนก ดินเป็นของทุกคน แผ่นดินมีพรมแดน
ชีวิตมีเผ่าพันธ์ อยู่ร่วมกันเถอะหนา มนุษย์ตาดำ)

กล้วย ไม่กล้วยอย่างที่คิด



กล้วย ผลไม้พื้นบ้านที่รับประทานง่าย แต่คุณค่าทางอาหารที่ได้มีไม่ได้น้อยเลยล่ะครับ อีกทั้งสามารถนำมาทำอาหารได้เกือบทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นลูกดอกหยวกกินได้หมดและ
คนไทยเราก็ขึ้นชื่อว่าสามารถพลิกแพลงนำเอากล้วยมาประกอบอาหารได้หลากเมนู
ทั้งคาวและหวานแถมยังมีให้เลือกทานกันหลายพันธุ์ทั้งกล้วยน้ำว้ากล้วยหอมกล้วยไข่เป็นต้น
กล้วยอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ3ชนิดคือซูโครสฟรุคโทสและกลูโคสรวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผลก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที
ประโยชน์ของกล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรคเลยค่ะ ส่วนจะช่วยป้องกันโรคใดได้บ้างนั้น เราไปหาข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้ค่ะ
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง
2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถโฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิต หรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก
3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใย และกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วย ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูก โดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์ เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนป็น erotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10.ระบบระสาท วิธีควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูงอย่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่ง เห็นว่ากล้วย คือ ผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าทารกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น
13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี
14. การสูบบุรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็วอันเป็นผล จากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิด ความสมดุล
16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้
เห็นไหมคะว่า กล้วยนั้นเป็นผลไม้สารพัดประโยชน์จริงๆ นอกจากจะกินง่ายและอร่อยแล้ว ยังช่วยรักษาโรคต่างๆ อย่างธรรมชาติได้มากมาย ดังนั้นควรจะรับประทานกล้วยกันทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ผล เพียงเท่านี้การเป็นคนมีสุขภาพดีก็กลายเป็นเรื่องกล้วยๆแล้วละครับพี่น้อง ฟังเพลงค้างคาวกินกล้วย
วารสารอโศก, บีเคเคเมนูดอทคอม

28 ก.ค. 2553

อนุรักษ์มีจริงหรือเป็นภาพลวงตา


คำถามหนึ่งที่มีต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติหลายๆ โครงการคือการอนุรักษ์นั้นมีผลดีจริงต่อการฟื้นฟูธรรมชาติหรือไม่ และงานวิจัยพื้นที่อนุรักษ์มีผลจริงหรือเป็นเพียงภาพลวงตา เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ จากงานวิจัยพื้นที่อนุรักษ์ของหมู่เกาะบาฮามาสยืนยันว่าการอนุรักษ์มีผลจริง
การศึกษาเริ่มจากพื้นที่แนวปะการังที่เสียหายจากเฮอร์ริเคนเมื่อสองปีที่แล้ว โดยพื้นที่ทั้งหมดที่ศึกษามีการครอบคลุมของปะการังประมาณ 7% เท่าๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองปี พื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลที่มีการห้ามทำการประมง มีแนวปะการังเพิ่มขึ้นถึง 19% ขณะที่พื้นที่นอกเขตอนุรักษ์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน นี่เป็นครั้งแรกของการยืนยันในเชิงสถิติว่าการลดการรบกวนของมนุษย์มีผลต่อปะการังจริง ปะการังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ บริเวณชายฝั่งทะเล เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์จำนวนมาก อีกทั้งเป็นแหล่งอาหารเพื่อการเจริญเติบโต เป็นแหล่งเพาะพันธุ์วางไข่และหลบภัย ปะการังมีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล การประมง และมีส่วนช่วยรักษาสภาพสมดุลธรรมชาติของชายฝั่ง ช่วยลดความรุนแรงของคลื่นที่กระทบต่อชายฝั่งความสวยงามของแนวปะการังช่วยใน ด้านพักผ่อนหย่อนใจและเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี สำหรับประเทศไทยก็มีกลุ่มอนุรักษ์ปะการังอยู่หลายหน่วยงานทั้งของภาครัฐ และกลุ่มที่รวมตัวด้านสิ่งแวดล้อม มีโครงการต่าง ๆ เช่นโครงการเยาวชนอนุรักษ์ปะการังและทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่งทะเลในหลาย ๆ รุ่น บางครั้งดูเหมือนอาจจะเป็นเรื่องที่เลื่อนรางในทางรูปธรรม แต่หากมีมีสิ่งนี้แล้ว การอนุรักษ์ย่อมไม่เกิดผล มาฟังรั้วทะเลคลิ๊ก

จ่าง แซ่ตั้ง กวีรูปธรรม


จ่าง แซ่ตั้ง (1 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2533) เป็นศิลปิน นักเขียนบทกวี และจิตรกร เขามีเชื้อสายจีน โดยบิดาอพยพมาจากประเทศจีน ส่วนมารดาเป็นคนจีนเกิดในประเทศไทย จ่างเกิดที่ตลาดสมเด็จ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี เข้าเรียนหนังสือระดับชั้นมูลที่โรงเรียนเทศบาลสอง วัดพิชัยญาติ แต่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง จึงไม่ได้เรียนหนังสือที่ไหนอีก

จ่าง แซ่ตั้ง ชื่นชอบการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก และได้ฝึกฝนฝีมือการวาดภาพด้วยตัวเอง ในปี พ.ศ. 2505 เริ่มเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังสีน้ำมันขนาดใหญ่ โดยใช้นิ้วมือแทนพู่กัน เป็นภาพเจ้าแม่โพธิสัตว์ ที่มูลนิธิโรงพยาบาลเทียน โดยเขาเริ่มเขียนเรื่องสั้นในปี พ.ศ. 2506 เรื่อง “เวลาอันยาวนาน” พิมพ์ในหนังสือรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 เริ่มเขียนบทกวี ที่มีลักษณะเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียกว่า "กวีรูปธรรม" (concrete poetry) ซึ่งมีที่มาจากการเป็นจิตรกรวาดภาพมาแต่เดิม ลักษณะเฉพาะของบทกวีของจ่าง คือ ไม่ใช้ไม้ยมกแทนคำซ้ำ แต่ กลับเขียนคำซ้ำๆ กัน และมีลักษณะคล้ายการเขียนรูป ซึ่งเป็นความแปลกใหม่ที่ไม่มีใครทำมาก่อน ทั้งนี้ จ่าง แซ่ตั้ง ถือว่าเป็นคนแรกในประเทศไทย ที่ได้สร้างงานศิลปะประเภทนามธรรม (Abstract) และมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะไทยเป็นอันมาก

ในปี พ.ศ. 2510 มีการแปลผลงานกวีของจ่าง แซ่ตั้งเป็นภาษาอังกฤษ และได้รับเชิญไปร่วมงานประชุมกวรโลกที่กรุงแคนเบอรา ออสเตรเลีย ในปี พ.ศ. 2514 ต่อมานิตยสาร “ลุคอิส” ได้มาทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิต การทำงานและความเป็นอยู่ ของจ่าง รวมทั้งนำภาพสีพิมพ์เป็นปกเพื่อจำหน่ายขายทั่วโลก

จ่าง แซ่ตั้ง สมรสกับนางเซี้ยะ แซ่ตั้ง มีบุตร 7 คน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2533 อายุ 56 ปี
เพลงจ่างแซ่ตั้ง

มด...


ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม
หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค = ถูกปิดกั้นหนทาง
มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆมันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ


ข้อคิด

จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด
ปรัชญาที่ 2 มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน
มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู จะคงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา


ข้อคิด
จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต

ปรัชญาที่ 3
มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาว
ท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันห์ มันจะเตือนตัวเองว่า
"ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้"
เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า
หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพ รงอีกครั้ง
และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันที

ข้อคิด
จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา
ปรัชญาที่ 4 ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ
มดสาม ารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้

ข้อคิด
จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง ฟังเพลงกำลังใจ
1) อย่ายอมแพ้

2) มองไปข้างหน้า

3) มองโลกในแง่ดี

4) ทำเต็มความสามารถ

23 ก.ค. 2553

สึนามิ แผ่นดินไหวทั่วโลก






คลื่นสึนามิ คลื่นที่ท่าเรือ หรือ คลื่นชายฝั่ง คือ คลื่นหรือกลุ่มคลื่นที่มีจุดกำเนิดอยู่ในเขตทะเลลึก ซึ่งมักปรากฏหลังแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ แผ่นดินไหวใต้ทะเล ภูเขาไฟระเบิด ดินถล่ม แผ่นดินทรุด หรืออุกกาบาตขนาดใหญ่ตกลงในทะเล คลื่นสึนามิสามารถเข้าทำลายพื้นที่ชายฝั่ง ทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้
26 มกราคม พ.ศ. 2544 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในรัฐกุจราชทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 25,000 คน บาดเจ็บ 166,000 คน

26 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เกิดแผ่นดินไหว 6.7 ริกเตอร์ ที่เมืองบาม ประเทศอิหร่าน มีผู้เสียชีวิต 31,884 คน บาดเจ็บ 18,000 คน

26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 แผ่นดินไหว 9.1 ริกเตอร์ใต้ท้องทะเลบริเวณเกาะสุมาตรา ส่งผลให้เกิดสึนามิใหญ่ขึ้นกับหลายประเทศบริเวณมหาสมุทรอินเดีย (รวมทั้งประเทศไทย) จนคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 220,000 คน และเฉพาะประเทศอินโดนีเซียแห่งเดียวก็มีผู้เสียชีวิต 168,000 คน

28 มีนาคม พ.ศ. 2548 เกิดแผ่นดินไหว 8.6 ริกเตอร์ที่เกาะเนียส ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 900 คน

8 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เหตุการณ์แผ่นดินไหว 7.6 ริกเตอร์บริเวณพรมแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน และเขตการปกครองของปากีสถานในรัฐแคชเมียร์ คร่าชีวิตผู้คนไป 75,000 คน และมีคน 3.5 ล้านรายไร้ที่อยู่อาศัย

27 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เกิดแผ่นดินไหว 6.3 ริกเตอร์ในเขตยอกยาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิต 6,000 ราย และอีก 1.5 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย

17 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 แผ่นดินไหว 7.7 ริกเตอร์ใต้ท้องทะเลบริเวณเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ได้ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่คร่าชีวิตผู้คนไป 596 ราย บาดเจ็บมากกว่า 9,500 คน และประมาณ 74,000 คนไร้ที่อยู่

6 มีนาคม พ.ศ. 2550 เกิดแผ่นดินไหว 6.3 ริกเตอร์ ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนเสียหายพังทลาย และมีผู้เสียชีวิต 70 คน

26 เมษายน พ.ศ.2550 แผ่นดินไหว 8.0 ริกเตอร์ บริเวณหมู่เกาะโซโลมอนตะวันตก ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิผลาญชีวิตผู้คนไปมากกว่า 50 คน และอีกหลายพันรายต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน

3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เกิดแผ่นดินไหว 6.1 ริกเตอร์ บริเวณตะวันออกของประเทศคองโก และตะวันตกของประเทศรวันดา ทวีปแอฟริกา มีผู้เสียชีวิต 45 คน และอีกหลายพันรายต้องไร้ที่อยู่อาศัย

12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เกิดแผ่นดินไหว 8.0 ริกเตอร์ ที่มณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหาย 87,000 ราย

29 ตุลาคม พ.ศ.2551เกิดแผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน ผู้คนมากกว่า 300 รายเสียชีวิต และอีกนับหมื่นคนไร้บ้าน

6 เมษายน พ.ศ. 2552 เกิดแผ่นดินไหว 5.8 ริกเตอร์ที่เมืองลากวีลา และบริเวณใกล้เคียง ในประเทศอิตาลี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 300 คน

2 กันยายน พ.ศ. 2552 แผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์ ที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินถล่มและมีผู้เสียชีวิต 123 ราย

29 กันยายน พ.ศ.2552 คลื่นยักษ์สึนามิจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว 8.0 ริกเตอร์ ได้ซัดทำลายหมู่บ้านและรีสอร์ตหลายแห่งบนเกาะซามัว รวมทั้งหมู่เกาะอเมริกัน ซามัว และตอนเหนือของประเทศตองกา ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 186 คน

30 กันยายน พ.ศ. 2552 เกิดแผ่นดินไหว 7.6 ริกเตอร์ ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,100 ราย
27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 เกิดแผ่นดินไหว 8.8 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งประเทศชิลี ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 214 คน
(ข้อมูลจากเว็บไซต์ไทม์ส ออนไลน์) เพลงซับน้ำตาอันดามัน

ความฝัน...



เชื่อในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เชื่อ แต่คุณต้องมั่นคงและถ่องแท้ในสิ่งที่เชื่อและทำด้วยความถ่องแท้ที่ว่าจะเกิดขึ้นได้ก็จากการเอาตัวลงไปคลุกคลีและเคี่ยวกรำอย่างบ้าคลั่งเท่านั้นเป็นนักเรียนอยู่เสมอ โลกมีสิ่งใหม่ให้เรียนรู้ทุกวันจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ทว่าความรู้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่สำคัญ
กล้าหาญที่จะแตกต่าง ไม่ขี้ขลาดที่จะเริ่มต้นจดจำไว้ว่า ในทุกยุคสมัย โลกมีที่ทางให้กับนักแหกคอกเสมอวิธีเดียวที่จะจัดการกับความฝัน คือลงมือทำให้มันเป็นจริงใช้ชีวิตอย่างเป็นนายของมันเอาความมุ่งมั่นกับแรงบัลดาลใจเป็นเครื่องนำทางอย่าให้ขนาดของอัตตา ใหญ่โตไปกว่าความสามารถจริงที่มีอยู่ให้รางวัล กำลังใจ และเข้าข้างตัวเองอย่างพอเหมาะรู้จักที่จะชื่นชอบและชื่นชมผู้อื่นแต่อย่าให้ถึงกับคลั่งไคล้

คบเพื่อนคอเดียวกัน
ยอมรับว่ามีคนที่เก่งกว่า
ดื้ออย่างฉลาด
น้อย คือ มาก
มาก คือ มาก

อยู่ในโลกความจริง แต่ไม่ทอดทิ้งความฝันลองฝันให้แรงและไกลกว่าที่เคยฝันโชคชะตาไม่มีอยู่จริง
มันเป็นเพียงความบังเอิญที่พอเหมาะพอดีเท่านั้น ฟังเพลงคลิ๊ก

ความเป็นจริง ของโลกใบนี้

โลกกลมๆ ใบนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
คุณว่าจริงไหม ฉะนั้น ...?


อย่าไปให้ความสำคัญกับใครบางคน เมื่อคุณเป็นแค่ทางเลือกของเขา.
สัมพันธภาพจะดีที่สุดเมื่อทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกันอย่างสมดุล


ไม่ต้องสาธยายเกี่ยวกับตัวคุณให้ใครฟังหรอก
เพราะคนที่ชอบคุณ ยังไงเขาก็ชอบ และไม่ต้องการฟังมัน
แต่คนที่เกลียดคุณ ยังไงเขาก็ไม่เชื่อคุณหรอก

เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณยุ่ง คุณก็จะไม่ว่างเลย
เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณไม่มีเวลา คุณก็จะไม่มีเวลาเลย
เมื่อคุณพูดแต่ว่าคุณจะทำในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้จะไม่มีวันมาถึงเลย

เมื่อเราตื่นขึ้นมาในยามเช้า เรามีทางเลือกง่ายๆ 2 อย่าง
กลับไปนอนและฝันหวานต่อ หรือ ลุกขึ้นมาแล้วทำความฝันให้เป็นจริง
มันก็แล้วแต่คุณจะเลือกแล้วล่ะ

เรามักทำให้คนที่ใส่ใจเราต้องร้องไห้
เรามักร้องไห้ให้กับคนที่ไม่เคยใส่ใจเรา
และเรามักใส่ใจกับคนที่ไม่มีวันร้องไห้ให้เรา
นี่คือความจริงของชีวิต เป็นเรื่องแปลกแต่จริง
ถ้าเห็นคุณเห็นด้วย มันก็ยังไม่สายเกินแก้

เมื่อคุณกำลังสนุกสนาน ก็อย่ารับปากพล่อยๆ
เมื่อคุณกำลังเศร้า ก็อย่าได้ตอบกลับ
เมื่อคุณกำลังโกรธ ก็อย่าไปตัดสินใจอะไร
คิดให้ถี่ถ้วน ทำอย่างสุขุม

เวลาก็เหมือนสายน้ำ
คุณไม่มีทางสัมผัสน้ำเดียวกันได้สองครั้งหรอก
เพราะมันได้ไหลผ่านไปแล้ว
มีความสุขกับทุกช่วงชีวิตของเราดีกว่า
ก้าวไปข้างหน้า ดีกว่าย้ำอยู่กับที่

เพลงมีความหมายคลิ๊ก


หายไปจากโลก เหลือความทรงจำ


วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นทั้งวันรัฐธรรมนูญของไทย และวันสิทธิมนุษยชนสากลจึงเปรียบเสมือนเหรียญสองด้านในอันเดียวกัน ด้านหนึ่งเป็นการเฉพาะของประเทศไทย ซึ่งมีด้านทั่วไปของหลักสิทธิมนุษยชนสากลอยู่ด้วย นับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึงเดือนตุลาคม ปีปัจจุบัน มีการบันทึกไว้ว่า ท่ามกลางการลุกขึ้นมาของประชาชนในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ นั้น มีการสูญเสียชีวิตของผู้ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิไปเป็นจำนวนไม่น้อย ผู้นำภาคประชาชนและผู้เข้าร่วมหรือเกี่ยวข้อง ถูกสังหารเสียชีวิตเฉลี่ยถึงปีละ 4คนนั้นคือบันทึกเลือดจากปากกระบอกปืนเพื่อการต่อสู้ของนักสิทธิประชาชนนักเคลื่อนไหวนักอนุรักษ์ที่สูญเสียชีวิต เลือดเนื้อโดยไม่นับรวมถึงการข่มขู่ด้วยระเบิดการทำร้ายร่างกายและการลอบยิงให้ได้รับบาดเจ็บมาดูสิว่ามีใครกันบ้าง

ปี 2537 นางสุชาดา คำฟูบุตร ผู้คัดค้านโรงงานอุตสาหกรรม จ. ลำปาง (ถูกอุ้มหายตัวไป)
ปี 2538 อาจารย์บุญทวี อุปการะกุล ผู้นำการรณรงค์คัดค้านมลพิษจากนิคมอุตสาหกรรม
จ. ลำพูน ถูกทำร้ายตกรถไฟเสียชีวิต
ครูประเวียน บุญหนัก ผู้นำการคัดค้านโรงโม่หิน จ. เลย ถูกยิงเสียชีวิต ในปีเดียวกันนั้นเอง
นายวินัย จันทมโน นักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติชุมชน ผู้คัดค้านนายทุนตัดไม้ทำลายป่า
บ้านน้ำหรา อ.ควนกาหลง จ.สตูล ถูกลอบสังหารเสียชีวิต
ปี 2539
นายทองอินทร์ แก้ววัตตา แกนนำผู้คัดค้านการสร้างโรงงานกำจัดกากสารอุตสาหกรรมของบริษัทบริหารและ
พัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (เจนโก้) จ.ระยอง ถูกลอบสังหารเสียชีวิต
นายทุนหรือจุน บุญขุนทด ผู้นำสมัชชาคนจน กรรมการบ้านห้วยทับนาย อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภุมิ
แกนนำการคัดค้านการสร้างเขื่อนโป่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ
ถูกยิงเสียชีวิต
ปี 2542
กำนันทองม้วน คำแจ่ม ผู้นำการคัดค้านการให้สัมปทานโรงโม่หินจ.หนองบัวลำภู ถูกยิงเสียชีวิต
นายสม หอมพรหม ถูกยิงเสียชีวิตพร้อมกำนันทองม้วน ฯ ขณะนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปกับ กำนันทองม้วน
นายอารีย์ สงเคราะห์ ผู้นำการต่อต้านการบุรุกป่าและรณรงค์ร่วมกับชาวบ้านปกป้องผืนป่า ต้นน้ำคลองคราม
จ.สุราษฎร์ธานี ถูกยิงเสียชีวิต
ปี 2544 มีนักอนุรักษ์ 5 คน ถูกยิงเสียชีวิต
นายจุรินทร์ ราชพล ผู้นำการรณรงค์ ปกป้องป่าชายเลนชุมชนบ้านป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
มิให้ถูกนายทุนนากุ้งบุกรุก ป่าชายเลน
นายนรินทร์ โพธิ์แดง ผู้นำการคัดค้านการระเบิดหินเขาชะอางกลางทุ่ง กิ่ง อ.ชะเมา จ.ระยอง
ในพื้นที่เขาชะอางกลางทุ่ง ท่ามกลางความขัดแย้งกับ อบต.ห้วยทับมอญ การตั้งโรงโม่หิน
ถูกยิงเสียชีวิตอยู่ที่หน้าบ้านตัวเอง
นายพิทักษ์ โตนวุธ ผู้นำคัดค้านโรงโม่หินบริษัทร็อค แอนด์ สโตน โรงโม่หินบริษัทอนุมัติการศิลา
ของโรงโม่หินในภูเขาแดงรังกาย บ้านชมภู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ถูก ยิงเสียชีวิต
นายสุวัฒน์ ปิยะสถิตย์ ผู้นำการคัดค้านบ่อฝังกลบขยะราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ของ หจก.ไพโรจน์สมพงษ์พาณิชย์ ถูกยิงเสียชีวิตขณะ
นายสมพร ชนะพล แกนนำอนุรักษ์ป่าต้นน้ำคลองกระแดะ รอดจากการสร้างเขื่อนในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ถูกยิงเสียชีวิต
นางฉวีวรรณ ปึกสูงเนิน ผู้นำการต่อต้านการทุจริตในองค์การบริหารส่วนตำบลนากลาง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา เนื่องมาจาก การประมูลงานรับเหมาก่อสร้างในเขต อบต. นากลาง เป็นแกนนำขับไล่ประธาน อบต. และการทุจริตอื่นๆ ถูกยิงเสียชีวิต นั้นคือสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ฟังเพลงนักสู้คลิ๊ก
ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์



22 ก.ค. 2553

เช เกวารา นักรบในอุดมคติ

เออร์เนสโต เช เกวารา บุรุษหน้าตาคมคาย ตามประสาลูกครึ่งไอริช - สเปน คิ้วเข้ม หนวดเคราดกหนา ผมยาว ใส่หมวกแบเร่ต์ติดดาว ผู้ทำให้คำว่า "การปฏิวัติ" ในหัวใจคนหนุ่มสาวเป็นรูปร่างชัดเจน ที่สำคัญเรื่องราวของเช ก็ราวกับนิยายสะเทือนใจเกิดที่ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อปี 1928
นี่คือสังคมในอุดมคติของเช เป็นฝันไกลที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง แม้แต่ประเทศที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม? หรือคอมมิวนิสต์?? แต่ก็ไม่ควรด่วนสรุปว่าความฝันเช่นนี้หมดความหมายลงโดยสิ้นเชิง เพราะครั้งหนึ่งก็เคยกระตุ้นคนหนุ่มสาวให้ร่วมฝัน ร่วมสู้ ร่วมสร้าง จะสำเร็จหรือล้มเหลวจิตใจเช่นนั้น การกระทำตรงนั้นก็ดีงาม ซากความฝันอาจยังมีพลังจางๆ แอบแฝงอยู่ในสังคมปัจจุบันที่มุ่งลิ่วไปในทิศทางทุนนิยม เป็นพลังจางที่ทำให้เหลือส่วนเสี้ยวริ้วรอยของความฝันเก่าๆ อยู่บ้าง

อวสานของ เช กูวาร่า มาถึง เมื่อกองโจรโบลิเวียของเขาโด่งดังขึ้นทุกทีจนอาร์เจนติน่า -เปรู ต้องสั่งปิดพรมแดนสกัดการแพร่ลามของการปฏิวัติจากโบลิเวีย มีคนเข้าร่วมกองกำลังกองโจรมาขึ้น ทหารรัฐบาลโบลิเวียปรับยุทธศาสตร์รับมือกองโจรแล้ววาระสุดท้ายของเขาก็มาถึงที่ ยูโร ราไวน์ เชได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบและถูกทหารรัฐบาลจับได้ กลุ่มของเขาแตกกระจัดกระจายไม่ต่างกับความหายนะที่ แอลิเกรีย เดอ ปิโอ ในคิวบาระยะต้นการปฏิวัติ มีคนสิบคนเท่านั้นที่รอดชีวิตจากการพ่ายแพ้ครั้งนี้ เขาและเพื่อนๆ ถูกจับได้ เชในฐานะเชลยศึกผู้ได้รับบาดเจ็บถูกสั่งฆ่า ด้วยการยิงเป้าจนร่างพรุน แล้วประชุมเพลิง เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 1967 เถ้าถ่านกระดูกถูกนำไปทิ้งกระจัดกระจายด้วยความหวาดกลัว จบชีวิตของชายวัย 39 ปี ผู้อัดแน่นพลังความคิดฝัน วันที่ 13 กรกฎาคม 1997 ณ กรุงซานตาครูซ ประเทศโบลิเวีย รัฐบาลของโบลิเวีย ได้ทำพิธีส่งกล่องบรรจุกระดูกของ เช เกวารา วีรบุรุษของชาวคิวบา และนักปฏิวัติเชื้อชาติอาร์เจนตินา กลับคืนสู่ประเทศคิวบา ท่ามกลางความอาลัยของชาวโบลิเวีย อัฐิของ เช เกวารา ถูกนำขึ้นเครื่องบินจากซานตาครูซ ถึงฮาวาน่า ประเทศคิวบา นายฟิเดล คาสโตร ประธานาธิบดี เพื่อนรักของ เช และเคยร่วมรบ ได้จัดงานต้อนรับอัฐิของ เช อย่างสมเกียรติ ในฐานะวีรบุรุษของ


เช เกวารา ไม่ยึดติดกับตำแหน่งใหญ่โตในคิวบา เขาจึงกลายเป็นตำนาน ในจิตใจคนหนุ่มสาวทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านมานานถึง 30 กว่าปีแล้ว ฟังเพลงคลิ๊ก

ผู้ไม่เคยจากไปจากใจคนอยู่ป่า สืบ นาคะเสถียร



1 กันยายน 2533 กระทำอัตวิบาตรกรรม เพื่อเรียกร้องให้สังคมและราชการหันมาสนใจปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ อย่างจริงจัง 1 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย แต่สิ่งที่ได้มาเป็นความคุ้มครองหรือสูญเสียมากกว่ากัน

แนวความคิดเรื่องการรักษาป่า
ผมว่าประเทศไทยถ้าสามารถเก็บป่าธรรมชาติเอาไว้ได้ประมาณร้อยละ ๒๐ แล้วเราใช้อย่างถูกต้อง หมายถึง เก็บเอาไว้เพื่อให้มันอำนวยประโยชน์ในแง่ของการควบคุมสภาวะแวดล้อมอะไรต่าง ๆ เป็นแหล่งผลิตของธาตุอาหาร หรือความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่าง ถ้าเราใช้ป่าทั้งหมดที่เป็นแหล่งกำเนิดของความอุดมสมบูรณ์ไปแล้ว เราจะไปหาความอุดมสมบูรณ์ได้ที่ไหน


“ผมเห็นใจคนที่ไม่มีโอกาสในสังคม ถูกบีบคั้น เอาเปรียบทุกอย่าง
ประเทศไทยจะดีขึ้น ถ้าคนที่มีโอกาส ยอมสละโอกาสบ้าง
เราช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีโอกาส
ลืมตาอ้าปากได้ ผมอยากเห็นสังคมดีขึ้น”

สืบ นาคะเสถียร ฟังเพลงคลิ๊ก

19 ก.ค. 2553

12 สิงหาคม แบกเป้เข้าป่าหน้าฝน


เส้นทางแก่งเกาะร้อยกคลองสวนหมาก ถึงน้ำตกเต่าดำ 2 คืน 3 วัน
แก่งเกาะร้อยคลองสวนหมาก ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติคลองลาน อยู่ในเส้นทางอุ้มผาง-คลองลาน แก่งเกาะร้อยเกิดจากคลองสวนหมากเป็นลำธารสลับด้วยแก่งหิน และหาดทรายขาวสะอาด อยู่ท่ามกลางทิวทัศน์แห่งขุนเขาสลับซับซ้อน ประกอบด้วยแก่งหินตะปุ่มตะป่ำนับร้อยพันก้อนเรียงรายเป็นลานกว้าง ช่วงกลางมีลำธารน้ำใสไหลผ่านเกาะแก่งดูสวยงาม จากแก่งเกาะร้อยเราจะเดินศึกษาธรรมชาติสู่น้ำตกเต่าดำ อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า ใช้เวลาการเดินประมาณ 2 คืน 3 วันเส้นทางเดินเราจะลัดเลาะตามลำธาร ข้ามคลองน้ำข้ามไปข้ามา ป่าไม้ที่มีความสมบูรณ์ หน้าผาสูงชันทั้งสองด้าน ซึ่งประกอบด้วยธรรมชาติที่ยังไม่มีใครได้เข้าไปสัมผัสมากนักเฉพาะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสำรวจเพียงอย่างเดียว ฟังเพลงคลิ๊กที่นี่
กำหนดการ แก่งเกาะร้อย-น้ำตกเต่าดำ
วันที่ 11 สิงหาคม 2553 สองทุ่มรถตู้ออกที่กรมอนามัย ถึงบ้านพัก ประมาณเที่ยงคืน
วันที่ 12 สิงหาคม 2553 กินข้าเช้าเสร็จ เตรียมอุปกรณ์สิงของเดินจากคลองสวนหมากพักค้างคืน
ในป่า 1 คืน
วันที่ 13 สิงหาคม 2553 กินข้าวเรียบร้อยแล้วเดินต่อ ให้ถึงน้ำตกเต่าดำ/อาจจะนอนในป่าอีกคืนก็ได้
วันที่ 14 สิงหาคม 2553 กินกาแฟ ข้าว เตรียมอุปกรณ์เดินให้ถึงน้ำตกเต่าดำ และเดินทางออกกลับ
บ้าน/หรือจะนอนน้ำตกเต่าดำอีกคืนก็ไม่มีปัญหาอะไร
วันที่ 15 สิงหาคม 2553 เดินทางออกจากน้ำตกเต่าดำ เข้าอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า กลับบ้านเรา


ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า


ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุดก็ยังโง่ในหลาย ๆ เรื่อง ..
ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต
ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..
คนที่ไม่เคยหิวย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม
ความสำเร็จที่ผ่านมา ความล้มเหลวย่อมหอมหวานเกินกว่าเดิม ..

ขอนไม้ตายแล้วยังมีค่าหากเรามองที่จะหาค่าของมัน
อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน อีกคนนึง
ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..
คนเราไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้นที่ได้ทำ ..
หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง
ชีวิตจะไม่ไร้ค่า
ฟังเพลงคลิ๊กตรงนี้

16 ก.ค. 2553

โลกแห่งความรัก...


ความรัก... ต้องยอมโยนเปลือกข้างนอกของเราออกไป
ต้องไม่ปลอมตัว ต้องไม่ใส่หน้ากาก
จริงๆไม่ต้องสวยงามมาก แต่ต้องมีตัวตนแท้ๆของเราฉายอยู่อย่างจริงใจ
อย่าคาดหวังที่จะได้เจอคนที่สวยงามเกินจริง
เพราะโลกใบนี้ไม่มีให้อะไรหาอยู่แล้ว
แม้แต่กระดาษแผ่นเดียวยังมีสองด้าน
แม้แต่มือของเรายังมีหน้าหลัง
แม้แต่หัวใจยังมีสี่ห้อง
แม้แต่ดวงตายังมีสองข้าง
แม้แต่หูของเรายังมีสองข้าง
เมื่อโลกนี้มีสรรพสิ่งมากกว่าหนึ่งด้าน
เหมือนจะเตือนเราอยู่ในทีให้มองสรรพสิ่งอย่างชั่งใจ
ไตร่ตรอง และมองทุกมุมที่มี
ดังนั้นความรักก็มีหลักคิดหลักเข้าใจเหมือนกัน
นานเท่าไร
เรื่องของความรักก็เป็นเรื่องซ้ำๆไม่เคยเปลี่ยน
ผ่านมากี่ชั่วอายุคนก็ยังมีน้ำตาให้เห็น มีเสียงหัวเราะให้เชยชม
มีรักสามเส้า สี่เส้า เป็นเรื่องธรรมดา
เธอต้องถอยหลังออกมา และมองสรรพสิ่งด้วยความเข้าใจ
มองไม่ต้องทุกด้านที่มีก็ได้ แต่มองมากกว่าด้านเดียวที่เธออยากจะมองด้วย
มองเรื่องที่เธอไม่อยากจะเจอจะพบด้วย
เธอไม่จำเป็นต้องเจอสิ่งดีดีในชีวิตเสมอ
แต่ถ้าเธอเข้าใจสิ่งร้ายๆที่ผ่านมาในชีวิตบ้าง มีสติ ก็พอแล้ว
เมื่อคุณยอมรับใครบางคนในตัวตนและสิ่งที่เขาเป็น
คุณจะประหลาดใจเมื่อเขาดีกว่าที่คุณคาดหวังไว้มาก
ถ้าคุนรักก็ต้องยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของเขาได้
คุณจะได้รับรู้ว่าคน ๆ หนึ่งมีความหมายกับคุณมากเพียงไร
ก็เมื่อคุณตื่นขึ้นและพบว่าคุณได้สูญเสียใครคนนั้น ที่คุณเคยคิดว่า
ไม่มีความหมายกับคุณเลย ไปเสียแล้ว
สำหรับสิ่งที่คุณอาจจะคิดหลบหนี แต่หัวใจคุณเก็บมันไว้ตลอดเวลา
การปล่อยมันไปไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จะเหนี่ยวรั้งไว้ก็ยากเย็น
ความเข้มแข็งไม่ได้วัดที่ว่าสามารถเหนี่ยวรั้งมันไว้
แต่อยู่ที่สามารถปล่อยมันไปต่างหาก
ผู้ชายพร้อมที่จะเสียสละความรักเพื่อจะได้ปกครองโลก
แต่ผู้หญิงพร้อมที่จะตัดใจจากโลกเพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่มีค่าพอให้เสียสละ
มันปวดใจเมื่อได้เห็นคนที่คุณรักมีความสุขอยู่กับคนอื่น
แต่มันจะเจ็บปวดกว่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่มีความสุขเลยเมื่ออยู่กับคุณ
ความรัก ไม่จำเป็นต้องตามหา ถึงเวลามันก็มาเอง
ถ้ายิ่งตามก็ยิ่งหาไม่เจอ
ถ้าหากคุยกระหายอยากจะเจอ คุณก็อาจกลายเป็นคนที่มีคุณค่าลดลง
และถ้าหากวันที่ตัวจริงซึ่งเป็นคนที่ใช่ ของคุณปรากฎแล้ว
คุณอาจเสียเขาไปเพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าที่ควรจะมีจากคุณ
เพราะ คุณได้แจกให้คนใครต่อใครหลายคนจนแทบจะไม่มีแล้ว ....

14 ก.ค. 2553

ชีวิตต้องสู้..วันสิ้นลม


ต้นไม้ไม่อาจเติบโตได้ใต้ก้อนหินต้องหาพื้นที่ในการผลิตดอกออกผลให้ได้
คนจะยิ่งใหญ่ต้องเติบโตได้ก็ต้องด้วยการเอาชนะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ได้ เส้นทางชีวิตของคนบางกลุ่ม ในพื้นป่าหลาย ๆ ที่ มองกลับไปดูแล้วแล้วหันกลับมาดูอีกครั้งว่าชีวิตอย่างพวกเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เพื่อรอวันหมดลมหายใจ ท่ามกลางไอแดดที่ร้อนระอุของทุกวันในชายป่าเขาตั้งแต่น้อยจนเติมใหญ่นับเป็นแรมปี เหนื่อยล้าจากการทำงานที่เกิดขึ้น กลับสร้างความสุข ความภูมิใจในการใช้ชีวิต โดยยืนหยัดบนลำแข้งของตัวเอง และในช่วงภาวะวิกฤติวันนี้ หลายคนท้อแท้ สิ้นหวัง ต่างดิ้นรนขนขวายหาความสุขให้กับชีวิตทั้งทางวัตถุและจิตใจ จนบางครั้งเราอาจมองข้ามความสุขที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับไปมองหาความสุขที่อยู่ไกลลับสายตา มาร่วมเปิดใจรับความสุข ความหวังของการใช้ชีวิต พร้อมที่จะเติมเต็มให้กับหลายๆ หัวใจที่กำลังห่อเหี่ยว สิ้นหวังเราเชื่อกันว่า "คนที่เกิดมามีร่างกายครบ 32 จะมีความสุขและมีโอกาสทำตามความฝันของตัวเองได้มากกว่าคนที่ขาดบกพร่องในบางสิ่งบางอย่างแต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกำแพงขวางกั้นความสุขของเขา ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ผ่านไปกับการจมอยู่กับ ความทุกข์ แต่ผ่านไปพร้อมๆ กับความสุข ความหวังของชีวิต ทุกวันๆ เขาจะตื่นแต่เช้าใช้ชีวิตอยู่กับการปลูกพื้ชผัก ผักพื้นไร่ หาของป่า ที่เขารักและผูกพันมานานนับแรมปี แค่ความคิดที่ว่าไม่ใช่อุปสรรคในการทำมาหาเลี้ยงชีพ และไม่ยอมให้ชะตาชีวิตมากำหนดทางเดินของตน ในป่ามีพื้นที่เหลือว่างไว้มากมายให้สรรพสัตว์ได้อยู่อาศัย หาอาหาร แต่ในบางครั้งอาจมีเพียงทางแคบ ๆให้กับ คนกลุ่มเล็ก ๆ บางกลุ่มใช้เป็นเส้นทางสัญจร ในบ้างครั้งบางคราก้มหน้าต่อสู้ชีวิตต่อไปจนอ่อนล้าสิ้นแรง…หมดลมฟัง
เพลงคลิ๊กที่นี้

13 ก.ค. 2553

สำหรับผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง "แม่"


และแล้ววันแม่ กำลังจะผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง...
สำหรับลูก ๆ ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่...
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า 'ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป...''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี ให้ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมเข้าม.1 คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อโดยไม่อ่านหนังสือเลย
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า 'แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องมายุ่งกะหนู(ผม)หรอก'
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องโดยไม่สนใจ
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชาให้คุณได้เรียนเพิ่ม เพื่อหวังให้คุณเก่งและมีความรู้ คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองกับเพื่อนตั้งแต่ค่ำยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญจากคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้โทรศัพท์ตลอดคืนนั้น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า 'แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย'
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า 'หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่'
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการไปกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณโดยไม่กอดแม่ที่ท่านอยากกอดคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปีแม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า'มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร'
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า 'แม่จะมายุ่งอะไรกะหนู(ผม)อีกเนี่ย'
เมื่อคุณอายุ 25 ปี (สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'อายคนอื่นเขาน่า แม่'
(สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'หนูอยากไปอยู่ต่าง-ประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดยไม่มีแม่'
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า 'สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่'
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า 'ตอนนี้ไม่ว่างเลย'
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า 'มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ'
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่'แม่'
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ'แม่'ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก"แม่"ให้มากกว่ารักตัวเอง
แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็"รัก
"ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ"รูป"ของแม่เท่านั้น

7 ก.ค. 2553

โลกหลงสำรวจในปาปัว นิวกินี อินโดนีเซีย




ทีมสำรวจนานา ชาติพบสิ่งมีชีวิตนานาชนิดบนภูเขาโฟยา (Foja) อันห่างไกลบนเกาะนิวกินี ในจังหวัดปาปัว อินโดนีเซีย ระหว่างการสำรวจเมื่อปลายปี 2008 และรอยเตอร์ระบุว่า พวกเขาได้เผยรายละเอียดพร้อมภาพถ่ายของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นในสัปดาห์นี้ ก่อนวันความหลากหลายทางชีวภาพสากล (International Day for Biological Diversity) ซึ่งตรงกับวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาตามรายงานของกลุ่มอนุรักษ์สากล (Conservation International) และกลุ่มเนชันนัลจีโอกราฟิก (National Geographic Society) เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่พบระหว่างสำรวจนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ซึ่งมีทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและแมลงอีกครึ่งโหล ทั้งนี้ภูเขาโฟยาในอินโดนีเซียนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ซึ่งเป็นป่าฝนที่ยัง ไม่ถูกการพัฒนารุกล้ำและยังไม่ถูกรบกวน

รอยเตอร์ระบุว่า การค้นพบนี้เกิดขึ้นหลังจากนักวิทยาศาสตร์ได้เตือนถึงการคุกคามที่เร่งให้ เกิดการสูญพันธุ์มากขึ้นเมื่อโลกร้อนขึ้น กอปรกับป่าและถิ่นอาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ถูกทำลายเพื่อผลิตอาหารเลี้ยงประชากรที่เพิ่มมากขึ้น

“ขณะที่สัตว์และพืชต่างๆ ถูกกวาดล้างอยู่ทัวโลกด้วยอัตราเร่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลายล้าน ปี การค้นพบสิ่งมีชีวิตที่น่าท่งเหล่านี้เป็นเป็นข่าวดีที่ต้องการมาก สถานที่เช่นนี้แสดงถึงความแข็งแรงของอนาคตเพื่อเราทุกคนและแสดงให้เห็นว่า ยังไม่สายเกินไปที่จะหยุดยั้งวิกฤติการสูญพันธุ์ในปัจจุบันได้" บรูซ บีห์เลอร์ (Bruce Beehler) จากกลุ่มอนุรักษ์สากลที่ร่วมในการสำรวจครั้งนี้กล่าว

ทีมสำรวจกล่าวว่าจมูกยื่นยาวของกบที่พบนั้นจะตั้งขึ้นเมื่อตัวผู้ส่ง เสียงร้อง และจะชี้ลงเมื่อตัวผู้ไม่ตื่นตัว นอกจากนี้พวกเขายังพบหนูขนยาวเชื่องๆ ตุ๊กแกตาเหลืองนิ้วงอ นกพิราบพันธุ์ใหม่ ตัววอลลาบี (wallaby) หรือจิงโจ้แคระที่เชื่อว่าเป็นสมาชิกของวงศ์ (family) จิงโจ้ที่เล็กที่สุดในโลก หนูต้นไม้ขนาดเล็ก และค้างคาวกินน้ำหวานดอกไม้ชนิดใหม่

พร้อมกันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงความกังวลเพิ่มขึ้นต่ออัตราการสูญ พันธุ์ของสิ่งมีชีวิต และชี้ให้เห็นประโยชน์ใหญ่หลวงของป่า ระบบแม่น้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำและมหาสมุทร ที่มีต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์และเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดีเพิ่งมีรายงานว่ารัฐบาลทั่วโลกล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลง เมื่อปี 2002 ที่จะลดอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพก่อนปี 2010 ซึ่งสหประชาชาติประกาศให้เป็น "ปีแห่งความหลากหลายสากล" (International Year of Biodiversity) แต่ในเดือน ต.ค.นี้ผู้เจรจาต่อรองจากทั่วโลกจะไปรวมกันที่ญี่ปุ่นเพื่อถกเป้าหมายที่จะ สกัดกั้นการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพในอีก 40 ปีข้างหน้า.

6 ก.ค. 2553

5 ลำดับความสำคัญเมื่อหลงป่ามีอะไรบ้าง


ลำดับ ๕ : เสบียงอาหาร
ขอจัดไว้เป็นอันดับที่ ๕ สำหรับอาหาร หากคุณต้องหลงอยู่ในป่า การที่มีอาหารติดตัวเพียงนิดๆหน่อยๆ มันอาจจะทำให้ชีวิตของคุณยืนยาวต่อไปได้ และมีแรงในการหาทางออกไปจากป่าได้

ลำดับ ๔ :เข็มทิศ
สำหรับเข็มทิศ หลายคนคงสงสัย ทำไมเข็มทิศ สำคัญกว่าอาหาร เพราะว่าอาหาร สามารถหาได้ ในป่าเป็นบางช่วง หากขาดอาหารอาจจะอยู่ได้นานถึง 3 วัน หรือ 7 วัน...สำหรับบางคน แต่หากคุณอยู่กลางป่า และไม่สามารถหาทิศที่จะเดินต่อไปข้างหน้าได้ก็เท่ากับว่า คุณก็หลงวนเวียนอยู่แถวนั้นแหละซึ่งป่าบางป่าไม่สามารถมองเห็นแสงอาทิตย์หรือคาดเดาได้ว่าอยู่ทางทิศใดอาจจะเถี่ยงว่าเดียวนี้เขามี GPS แล้ว มีแต่ใช้ไม่เป็นก็ไม่เกินประโยชน์

ลำดับ ๓ : มีด
สำหรับของที่หลายๆคนไม่พกติดตัว หรือหลายคน อาจจะติดตัวไว้ตลอดนั่นคือ มีดหากคุณหลงอยู่ในป่าคุณควรจะสร้างรอยไว้ เผื่อมีคนกำลังตามหาคุณ และรอยที่สร้างไว้ ควรจะเป็นรอยที่บ่งบอกได้ง่ายว่าเป็น ฝีมือคน และมีด ช่วยเราได้มากและไม่ใช่แค่นั้น หากคุณเผชิญสัตว์อันตราย มีด อาจจะช่วยขู่ และช่วยไล่มันไปได้หรืออาจจะช่วยประดิษฐ์อะไรสักอย่างเพื่อช่วยให้เรารอดได้โดยไม่ต้องเป็นมีดสนามก็ได้แต่ขอให้เป็นมีดก็พอ

ลำดับ ๒ : ไฟ
จัดเป็นของสำคัญมาก สำหรับ ไฟ เพราะว่า ถึงเราจะเรียนรู้ว่า เราสามารถก่อไฟได้เองแต่ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายเลยที่คุณจะนั่งหมุนกิ่งไม้ จนกระทั่งมีประกายไฟเหรอและช่วงนั้นฝนอาจตกไม้เปียก ความชื้น แนะนำว่า หัดจุดเตาถ่านให้ติดก่อนดีกว่าแค่จุดเตาถ่าน ก็ยากมากๆแล้ว แล้วหมุนกิ่งไม้จนเกิดเป็นไฟได้แล้วแน่ใจเหรอว่าจะก่อไฟได้ การที่เรามีอุปกรณ์สร้างไฟได้ ย่อมมีประโยชน์มากกว่าหากเป็นไม้ขีดไฟอาจจะลำบากเพราะหากเปียกเมื่อไหร่ ก็โยนทิ้งได้เลยแต่หากเป็นไฟแช็ค อาจจะดีกว่า เพราะ ถึงเปียก ตั้งไว้ให้แห้ง ก็กลับไปใช้ได้ดังเดิม และ สะดวกกว่ามากๆเลยด้วย แล้วทำไมเราต้องก่อไฟ แล้วแน่ใจเหรอครับว่าหากคุณหลงป่า คุณจะสามารถออกจากป่าได้ภายในวันเดียว แล้วยามกลางคืน คุณจะหาความอบอุ่นได้จากที่ไหน หากคุณปล่อยร่างกายให้ตากน้ำค้างไปเรื่อยๆ การที่คุณก่อไฟ ก็จะช่วยกันสัตว์ร้ายและที่สำคัญที่สุด หากคุณหลงไปในป่าดิบ ที่ทึบมากๆ สัญญาณที่ส่งออกไปได้ดีที่สุด ก็คือ "ควัน" นี่แหละครับไม่ว่าจะมองจากด้านบน หรือมองจากด้านนอกของป่า ก็อาจจะพอมองเห็นควันได้ ซึ่งนั่น หมายความว่า คุณมีโอกาสพบทีมช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น ถึงแม้นว่าจะไม่สูบบุรีก็พกพาไฟได้ครับ

ลำดับที่ ๑ : น้ำ
หลายคน อาจจะไม่คาดคิดว่าทำไม่จึงจัดน้ำไว้เป็นอันดับที่ ๑ น้ำสำคัญมากต่อร่างกายคน อันนี้ ทุกคนน่าจะทราบดี และ ยามคุณหลงป่า น้ำนี่แหละครับ สำคัญที่สุด เพราะคุณอาจจะเจอลำธารเล็กๆในป่า(หากโชคดี) แต่น้ำในธรรมชาติ ส่วนใหญ่ มีเชื้อโรคปนเปื้อนในปริมาณที่อันตรายครับหากคุณดื่มเข้าไป แล้วคุณเกิดท้องร่วง นั่นคือคุณเสียน้ำในร่างกาย มากกว่าเดิมอีกและ กรณีที่ไม่มีน้ำห้ามรับประทานอาหารเพราะนั่น จะทำให้คุณตายได้เลย งง ใช่ไหม่ล้า...?? เหตุผลเพราะการที่คุณทานอาหารเข้าไป จำเป็นต้องใช้น้ำ ในการย่อยสลายอาหารนั้น ซึ่งถ้าไม่ได้ดื่มน้ำร่างกายก็จะดึงน้ำในร่างกายออกมาใช้เองนั่นคือคุณกำลังขาดน้ำไปเรื่อยๆ และมันจะทำให้คุณช็อค เสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นน้ำถือว่า หายากที่สุดในป่า และ คุณควรมีน้ำไว้สักขวดเล็กๆ เพื่อประทังชีวิต นี่แหละสิ่งสำคัญที่สุด ยามคุณติดอยู่ในป่า และเมื่อหลงอยู่ในป่าต้องหาน้ำหรือลำธาร ซึ่งอาจจะเป็นสายเดียวกับที่เราอยากกลับบ้านก็ได้

แล้วผมบอกทำไม.นั้นสิ.
หลายคนคงคิดว่า ปกติก็ไม่ได้เดินป่าอยู่แล้ว จะกลัวทำไม บางครั้งอาจจะไม่ได้เข้าไป โดยไม่ตั้งใจ แต่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นล่ะ เช่นหากคุณไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อน แล้วโดนน้ำป่าไหลพัดไป ฟื้นขึ้นมาอีกที อยู่กลางป่าซะแล้ว(เป็นนิยายเลย)หรือว่าไปเที่ยวที่ใดในอุทยานแล้วยามดึกๆ คุณเกิดอยากเดินเล่น แต่เผลอหลงไปกลางป่า อย่างคิดน๊ะว่ามันจะเกิดขึ้นได้แต่เพราะมันคิดไม่ถึงไง มันถึงได้ชื่อว่า "เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด" และมีสติเมื่อต้องหลงอยู่ในป่า อย่ากลัวเกินเหตุ
อยากให้ระวังตัวไว้ทุกฝีก้าว จะดีที่สุด...

คุณใช้หม้อสนามหุ้งข้าวเป็นหรือยัง


วิธีการใช้หม้อสนาม
ขั้นตอนที่ 1 หาไม้ไผ่ที่สดขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่มากถ้าใหญ่มากช่วงตอกลงดินจะไม่แน่นและตอกยาก และเล็กเกินไปจะรับน้ำหนักของหม้อสนามไม่ไหว ทำเป็นเสาตัดปลายเป็นปากฉลามหรือใช้กิ่งไผ่ที่มีกิ่งก้านอยู่แล้วไว้เพื่อวางคาน 2 เสาต้องเป็นไม้ที่สดเพื่อมิให้ไหม้ไฟขณะหุ้งข้าว
ขั้นตอนที่ 2 ตอกเสาไม้ไผ่ให้ห่างกันประมาณ1-1.5 เมตรโดยให้ด้านที่เป็นปากฉลามหรือด้านที่มีกิ่งไม้เป็นงามหนังสติกส์วางคานได้และเพื่อมิให้เสาถูกไฟไหม้ได้
ขั้นตอนที่ 3 หาคานไม้ไผ่ปกติจะใช้ไม้ไผ่เพราะหาง่ายขนาดพอที่จะรับน้ำหนักหม้อสนามได้หากมีหม้อหลายใบหุ้งพร้อมกันต้องตัดให้ยาวกว่าที่ตอกไว้เพื่อวางเป็นคานหุ้งขาวถ้าหากตอกเสาห่างกัน 1 เมตรต้องตัดคานให้ได้ 1.5 เมตร ถ้าวางเสาห่างกัน 1.5 เมตร ตัดเสาคาน 2 เมตร
ขั้นตอนที่ 4 ก่อไฟระหว่างเสาทั้งสองให้ไฟลุกไหม้ให้เรียบร้อยก่อน
ขั้นตอนที่ 5 ล้างหม้อสนามให้สะอาดใส่ข้าวสาร 1 ใน 4 ของหม้อประมาณเอาก็ได้ครับอย่าใส่ข้าวมากเกินไป จะทำให้ข้าวด้านบนจะไม่สุกหรือสุกๆ ดิบๆ ด้านล่างจะไหม้ ซาวข้าวให้สะอาดใส่น้ำเกือบเต็มหรือตามขีดข้างหม้อสนามบริเวณปากหม้อสนามจะมีขีดข้าง ๆ ใส่ให้น้ำอยู่ในระดับขีดหรือมากกว่าได้นิดหน่อยปิดฝา(หม้อสนามตามที่ซื้อไปมีอยู่ 3 ชิ้น ชิ้นที่ 1 ตัวหม้อสนาม ชิ้นที่ 2 ฝาหม้อปิด ชิ้นที่ 3 ถาดรองหรือจาน) ให้ใช้ฝาหม้อปิดอย่างเดียวไม่ต้องใส่ถาดปิดเพราะถาดนำไปใช้ใส่กับข้าวหรือเป็นจานใส่อาหาร (ถ้าใส่ข้าวน้อยจะไม่พอรับประทานและต้องเสียเวลาหุ้งใหม่ อย่าใส่ข้าวสารถึงครึ่งหม้อมากเกินไป โดยปกติหม้อสนาม 1 ใบเมื่อหุ้งแล้วจะรับประทานได้ถ้าเป็นผู้ชาย 5 คนสำหรับคนเมือง ถ้าผู้หญิงรับประทานได้ 5-7 คน
ขั้นตอนที่ 6 นำหม้อสนามวางใส่คานไม้ตั้งไฟที่ลุกอยู่ ไฟแรงเท่าไรก็ได้ถ้าไฟไม่ลุกหรือไฟไม่แรงพอข้าวจะสุกช้าการหุ้งข้าวด้วยหม้อสนามจะใช้เวลารวดเร็วไม่นานมาก ต่างกับการหุ้งข้าวด้วยวิธีอื่นดังนั้นต้องเฝ้าและดูอยู่ตลอดเวลามิฉะนั้นข้าวจะไหม้ได้
ขั้นตอนที่ 7 ตรวจดูว่าหม้อข้าวเดือดหรือยัง โดยให้สังเกตุและปฏิบัติดังนี้
วิธีที่ 1 หากเป็นช่วงเวลากลางวันที่สามารถมองเห็นได้ตรวจดูว่าหม้อสนามจะมีน้ำล้นออกมาอยู่ตลอดเวลาโดยมีน้ำซาวข้าวสีขาวขุ่นหยดออกจากปากหม้อเมื่อน้ำไม่หยดแล้วให้เคลื่อนหม้อสนามออกจากไฟที่ลุกอยู่โดยใช้ไม้ที่เป็นตะขอเกี่ยวแล้วยกหม้อที่สุกแล้ววางใช้ข้าง ๆ กองไฟเป็นการดงหม้อข้าวเพื่อให้สุกเต็มที่ อย่าใช้มือจับหม้อสนามเด็กขาดเพราะหม้อสนามจะร้อนมากไม่ต้องเปิดฝากหม้อปล่อยไว้อย่างนั้น
วิธีที่ 2 ถ้าเป็นช่วงกลางคืนที่ไม่สามารถมองเห็นน้ำที่ล้นหม้อสนามได้ให้ใช้ไม้ไผ่ที่เป็นกิ่งเล็ก ๆ ขนาด 1-2 ฟุต
จิ่มไปที่หม้อสนามที่กำลังตั้งไว้อยู่โดยปกติหากข้าวเดือดไม้ที่ใช้จิ๋มกับหม้อสนามจะสัญญาณสั่นสะเทือนมาที่มือเราก็จะทราบว่าข้าวกำลังเดือดอยู่ซึ่งต้องตรวจดูปล่อย ๆ หากหม้อสนามไม่สั่นสะเทือนให้เลี่อนหม้อสนามออกจากไฟที่กำลังหุ้งข้าว แล้ววางหม้อสนามไว้ข้าง ๆ กองไฟเพื่อให้ข้าวสุกได้เต็มที่แต่วิธีนี้ต้องทำปล่อย ๆ จะเกิดความชำนาญเองหรือใช้ไฟฉายส่องดูบ่อย ๆ ครับ (ทดลองหุ้งอยู่ที่บ้านก่อนน๊ะเดี๋ยวเข้าป่าแล้วจะไม่ได้กินข้าว)

1 ก.ค. 2553

เดินป่าน้ำตกคลองโปร่ง คลองน้ำแดง เต่าดำ 4 คืน 5 วัน



ทริปวันที่ 12-16 สิงหาคม 2553 สนใจเข้าดูได้ที่เวปด่านล่างครับ



ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินเข้าคลองโป่ง คลองน้ำแดง เต่าดำ เตรียมตัวกันให้พร้อม
ช่วงนี้ลิ้นมังกรหน้าจะออกดอก ฝนหน้าจะเยอะ ทากก็แยะ
กำหนดการ ดังนี้ ออกเดินทางจากกรุงเทพอาจจะเป็นช่วงกลางคืนหรือช่วงเช้าแล้วแต่ความสะดวก
ออกกลางคืนก็ไปเช้าที่ตลาดคลองวังเจ้า ซื้ออาหาร เสบียงเดินป่า และเดินเข้าสู่อุทยานและเดินทางต่อเข้าที่หน่วยโล๊ะโค๊ะ ติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง ลูกหาบ และออกเดินทางสู่น้ำตกคลองโปร่ง หากเดินไม่ถึงนอนก่อนถึงน้ำตก ช่วงเช้าเดินต่อเข้าน้ำตกคลองโป่ง
ออกเดินทางเช้า ถึงคลองวังเจ้าก็ประมาณบ่าย ๆ ซื้ออาหารเสบียง และเดินทางต่อเข้าหน่วยโล๊ะโค๊ะ คืนนี้ต้องพักที่หน่วยโล๊ะโค๊ะ เช้าออกเดินทางจากหน่วยโล๊ะโค๊ะ ขึ้นสู่น้ำตกคลองโป่ง นอนที่น้ำตกคลองโป่ง 1 คืน
ออกจากน้ำตกคลองโป่ง เดินสู่น้ำตกคลองน้ำแดง วันนี้ใช้เวลาเดินทั้งวัน นอนที่น้ำตกคลองน้ำแดง กรณีที่เดินถึงน้ำตก หากไม่สามารถเดินถึงได้คงต้องนอนกใกล้ ๆ น้ำตก ช่วงเช้าเดินเข้าไปดูน้ำตก สาย ๆ เดินต่อสู่ยอดเขาเย็น – น้ำตกเต่าดำ ถ้าเดินไม่ถึงพักกลางทาง 1 คืน และช่วงเช้าออกเดินทางต่อวันนี้ต้องถึงน้ำตกเต่าดำ นอนที่น้ำตกเต่าดำ
วันสุดท้าย ถ้ามีเวลาเดินไปดูน้ำพุร้อน/ออกเดินทางกลับหน่วยโล๊ะโค๊ะและเดินทางกลับกรุงเทพฯ ข้อมูลเพิ่มเติมได้ 089-4413219

http://board.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=15&topic_no=216569&topic_id=219385

ยอดเขาที่สูงที่สุดในแอฟริกา






kilimanjaro สูง 5895 เมตร ยอดนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ Trekker เป็นยอดเขาที่สูงมากๆแห่งนึงในโลกที่สามารถ trek ไปจนถึงยอดได้โดยไม่ต้องใช้ทักษะทางด้านปีนเขา ....นั่นหมายถึงยอดนี้เป็นความหวังของใครก็ตามที่อยากไปให้ถึงเกือบๆ 6000ม. โดยไม่ต้องใช้ทักษะเพิ่มเติม...เส้นทางเดินขึ้นยอดเขามีหลายเส้นทางมากๆ เส้นที่นิยมก็มี Marangu,Machame,Umbwe,Mweka,Shira plateau และ Rongai route..โดยใช้เวลาtrekทั้งหมด 5-7 วัน ยอดนี้ไม่อนุญาติในนักท่องเที่ยวขึ้นไปได้อย่างอิสระ จะต้องผ่านเอเจนซี่อย่างเดียว ราคาทั้งทริปราว 50000-60000 บาท โดยประมาณ จุดสูงสุดเรียกว่า Uhuru peak มีธารน้ำแข็งหลายแห่งการหดตัวของธารน้ำแข็งบนนี้ถูกนำมารณรงค์เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอยู่บ่อยๆ สัณฐานของ Kilimanjaro เป็นภูเขาไฟเก่า ที่ดับแล้วปัจจุบันยังเห็นเป็นทรงโคนชัดเจน ด้วยความสูงระดับนี้จึงมีหิมะปกคลุม ถึงแม้จะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรก็ตาม

30 มิ.ย. 2553

10 สุดยอด การผจญภัยแดนหฤโหด แห่งอเมริกาใต้

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งอเมริกาใต้เป็นเจ้าภาพ มาดูพื้นที่ในอเมริกาใต้ที่มีความหฤโหด 10อันดับกันครับ
อันดับ 10 : หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (FALKLANDS)
ที่หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ทะเลโหดคือกฎเหล็ก แต่ดูเหมือนสัตว์เจ้าประจำที่อาศัยอยู่ที่นี่จะไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ท่ามกลางเกลียวคลื่นยังมีสิ่งมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในนั้น นกอัลบาทรอสบินร่อนลม นกเพนกวินร็อค ฮ็อปเปอร์ (ROCK-HOPPER) กับความทรหดเย็นสุดขั้ว แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้กับเพนกวินเจ็นตู (GENTOO PENGUIN) ที่พยายามหนีการตามล่าของปลาวาฬออร์ก้า (ORCAS) เพชฌฆาตใต้น้ำซึ่งน้อยครั้งนักที่เหยื่อจะรอดเงื้อมมือ ราชาแห่งหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ไปได้
อันดับ 9 : ป่าแพนทานัล (PANTANAL)
เข้าไปในป่าลึกกับการยากคาดเดาของธรรมชาติ ที่ป่าแพนทานัล คุณจะได้พบกับสัตว์หายาก และไม่เคยเห็นที่ไหน แน่นอนคุณต้องรู้จัก..เจ้าจระเข้เคแมนตัวร้าย หนูยักษ์คาปีบาร่า และงูอนาคอนด้า กับช่วงฤดูน้ำหลาก และฤดูแล้งที่น้ำขึ้น และลงอย่างน่าใจหาย แต่ไม่ยากสำหรับเพชฌฆาตแห่งนี้ทุกตัวรวมทั้งเสือจากัวร์ที่ ไม่ต้องคิดเผื่อมันว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร
อันดับ 8 : ทะเลทรายอะตาคาม่า (DESERT OF THE ATACAMA)
ข้ามเข้าสู่ความร้อนกันบ้าง ที่นี่ให้ทั้งความประหลาด และมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ จะอยู่ได้ยังไงเมื่อความร้อนพุ่งสูงถึง 50 องศา แล้วสิ่งมีชีวิตในทะเลทรายอะตาคาม่าไม่ร้อนบ้างหรือ คงไม่เพราะเพนกวินฮัมโบลด์ (HUMBOLDT PENGUIN) ยังหนีความเย็นมาอยู่ในที่ร้อน แล้วสัตว์ที่ทนแดดทนฝนอย่างอูฐกัวนาโคจะขอยอมแพ้ไปได้อย่างไร ท่ามกลางแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ เพนกวินฮัมโบลด์ก็มีเพื่อนบ้านที่ฉลาดเป็นกรด ปลาแอนโชวี่ โลมาดัสกี้ สิงโตทะเล ต่างงัดไม้เด็ดมาเทียบว่าตัวใดจะได้อาหารมากกว่ากัน
อันดับ 7 : แม่น้ำอะเมซอน (AMAZON RIVER)
เมื่อความยิ่งใหญ่ ความดุร้าย ความอันตรายรวมไว้ด้วยกัน แม่น้ำอะเมซอนคือแหล่งผจญภัยที่ตื่นเต้น และน่ากลัวได้เป็นอย่างดี ความยาวของสายน้ำกับฝนตกชุกตลอดทั้งปี ไม่มีที่ใดอุดมสมบูรณ์ที่สุดเท่า สัตว์น้ำพันกว่าชนิดกับความดุร้ายสไตล์สัตว์ป่าของนากยักษ์ หรือโลโบ้ เดล ริโอ, ปิรันย่าจอมโฉด, จระเข้เคแมนเจ้ายักษ์, แมงมุมทารันตูล่า, มดคันไฟ ไม่มีที่ใดมากเท่าที่นี่ แล้วพวกมันก็รู้ตัวด้วยว่า อย่างเดียวที่จะให้มันรอดก็ คือหาเหยื่อที่พวกมันพอจะจัดการได้
อันดับ 6 : ที่ราบสูงอัลติปลาโน่ (ALTIPLANO)
เหนือขึ้นไปอากาศยิ่งลดต่ำลง สำหรับสัตว์ป่าเรื่องอาหารไม่ต้องห่วง แต่เรื่องรักษาชีวิตสำคัญกว่า เรามาไกลถึงที่ราบสูง...สูงเสียดฟ้า อากาศเย็นซะจนวิสคาช่าต้องปรับตัวอย่างมาก ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว ถ้านกฟลามิงโก้ไม่ดูแลลูกนกให้ดีคงไม่แคล้วต้องแข็งตาย เพราะที่นี่สภาพอากาศกำหนดทุกสิ่ง
อันดับ 5 : ป่าบนภูเขา (CLOUD FOREST)
ภูเขาสูงใหญ่ปกคลุมด้วยเมฆหมอก ข้างในมันน่าจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่ สูงสุดขอบฟ้าที่นี่คือบ้านของสัตว์ป่า หมีแว่น (SPECTACLED BEAR) เดินลอยชาย พ่วงด้วยนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่ตัวเล็ก แต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ทั่วป่าพิศวงบางทีคุณอาจจะเคยเห็นทุกอย่างเป็นครั้งแรก อย่างนกดูดเลือด แวมไพร์ ฟิ้นช์, นกกาน้ำ, อีกัวน่าทะเล, นกบู๊บบี้ตีนฟ้า ที่คุณจะเห็นได้ในป่าลึกๆ และมีความเป็นธรรมชาติอย่างที่ป่าในอเมริกาใต้มีเท่านั้น
อันดับ 4 : พาทาโกเนีย (PATAGONIA)
ที่ซึ่งภูมิอากาศเลวร้ายหนาวเย็นสุดขั้ว แต่สัตว์ที่จะกล่าวต่อไปนี้อยู่ได้ มองฝ่าละอองหิมะ จิ้งจอกเทา (GREY FOX) เดินมาแต่ไกล มันต้องทนความหนาวเหน็บเพื่ออาหารอันโอชะ ส่วนเพนกวินแจ็คแอสกับสิงโตทะเลใช้พื้นที่แห่งนี้ เป็นสมรภูมิขับเคี่ยวระหว่างกัน พวกมันต้องใช้ความเหนือกว่าเพื่อเอาชนะคู่แข่งของตนเอง
อันดับ 3 : ทุ่งหญ้าเซอราโด้ (CERRADO)
ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่สุดลิบตามองไปทางไหนก็เห็นหมู่สัตว์ เชื่อมั้ยชีวิตหลากหลายมักอาศัยอยู่ที่นี่ ทุ่งหญ้าเซอราโด้คือที่เหมาะที่เราจะพบกับเจ้าผู้ครองพื้นที่ หมาป่าเมนด์ (MANED WOLF) ซึ่งตอนนี้มันกำลังได้เหยื่อ อีกชีวิตของสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างปลวกที่อยู่ของมันดีๆ แต่เจ้าตัวกินมดนี่สิชอบมายุ่งยากอยู่เรื่อย

อันดับ 2 : เทือกเขาแอนดีส (ANDES)
แอนดีสคือเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แน่นอนเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมีอดีตกาล ร่องรอยอารยธรรมของชาวอินคาโบราณที่สร้างเมือง มาชู ปิกชู และสัตว์โบราณอย่าง ลามะและอัลพาค่า (Llamas & Alpacas) ผู้คนที่นี่ยังสำนึกบุญคุณ และดำรงไว้ซึ่งจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ไม่เฉพาะกับสัตว์ยุคโบราณอย่างเดียว แร้งคอนดอร์ นกยักษ์บินร่อนทั่วท้องฟ้า ปีกของมันกว้างเป็นพิเศษพร้อมกวาดตาดูทั่วอาณาจักรว่าพอ จะมีอะไรที่จะเป็นเหยื่อได้บ้าง
อันดับ 1 : ป่าอะเมซอน (AMAZON)
สุดยอดแห่งป่า สุดยอดแห่งสัตว์หลากหลาย สุดยอดของโลก นี่คือสถานที่ที่ป่าคือธรรมชาติแท้จริง พืช 3,000 ชนิด นก 530 ชนิด ลิง 11 ชนิดและสัตว์กว่าร้อยๆ อย่างที่ไม่ต้องคิดนับ มีมากมายเหลือเกินพอๆ กับป่าอะเมซอนแห่งนี้ ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอัดแน่น เสียงนกร้อง สัตว์เดินเพ่นพ่าน แต่ไม่ใช่ที่นี่จะปลอดภัย เพราะทุกชีวิตในป่าอะเมซอนอยู่ในเกมที่ชื่อว่า เกมเอาตัวรอด